เศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่าและการจัดกิจกรรมส่งเสริม การท่องเที่ยว ส่วนการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และจะเป็นแรงส่งที่สำคัญสำหรับปี 2568 ต่อไป อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องติดตามคือ มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้าหลักความผันผวนของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการแก้ปัญหา หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว แม้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในทิศทางขยายตัว แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนตามนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล รวมถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวทันโลกยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันจากภายนอกและความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ยังคงมุ่งเน้นให้ความสนับสนุนลูกค้า ทั้งด้านเงินทุน และองค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในยุคใหม่ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการ ไปยังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทาง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบ ต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 45,211 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.6 จากปีก่อน โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ และอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 3.06 สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จากการเพิ่มขึ้น ของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกัน ผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่าย เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด โดยธนาคารยังคง ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น ร้อยละ 48.0 ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 4 ปี 2567 ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2567 มีจำนวน 34,838 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพ ฐานะการเงิน สภาพคล่อง…
Author: staff
ลอนดรี้บาร์ (LaundryBar) แบรนด์ร้านสะดวกซักครบวงจร อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศความร่วมมือกับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดตัวโครงการพิเศษ “สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการร้านสะดวกซัก” เสนออัตรากำไรพิเศษ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ตอกย้ำโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง คุณพิมลวรรณ ชีวเกรียงไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักในยุคใหม่กำลังกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนยุคปัจจุบัน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักมีความหลากหลาย ตั้งแต่นักลงทุนรายย่อยที่มองหาธุรกิจเสริมรายได้ พนักงานประจำ และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการการลงทุนที่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งและความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ในธุรกิจบริการ นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนที่มีศักยภาพทางการเงินสูง ซึ่งนิยมเลือกแฟรนไชส์ระดับพรีเมียม และนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่สนใจธุรกิจที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยี และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล การจับมือกับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการสนับสนุนและขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายใหม่และสตาร์ทอัพ ที่มองหาแนวทางการเริ่มต้นธุรกิจร้านสะดวกซักได้อย่างมั่นคงและ ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือระหว่างลอนดรี้บาร์และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยจึงเกิดขึ้น เพื่อมอบโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์และช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในด้านอัตรากำไรพิเศษ เงื่อนไขสินเชื่อที่ครอบคลุม และการสนับสนุนด้านหลักประกันที่ยืดหยุ่น” “สำหรับแพ็กเกจสินเชื่อที่เราร่วมพัฒนากับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการสร้างความมั่นคงและเติบโตไปกับธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย โดยเรามั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะไม่เพียงแค่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทย แต่ยังช่วยสนับสนุนระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยและนักลงทุนหน้าใหม่เข้าถึงโซลูชันทางการเงินที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าได้ง่ายขึ้น เราหวังว่าผู้ประกอบการทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อเสนอพิเศษนี้ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในธุรกิจของพวกเขา” คุณพิมลวรรณ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ลอนดรี้บาร์มุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้ โดยเรายังคงเดินหน้าสร้างสรรค์โอกาสและสนับสนุนความสำเร็จของผู้ประกอบการผ่านการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ เราเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ ผู้ประกอบการจะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว” เทรนด์ร้านสะดวกซักปี 2568 พลิกโฉมสู่อนาคต: อัจฉริยะ-ยั่งยืน-ครอบคลุมทุกพื้นที่ใกล้ไกล ในปี 2568 เราคาดการณ์ว่าจะได้เห็นเทรนด์ธุรกิจร้านสะดวกซักก้าวสู่มิติใหม่ด้วยแนวคิดที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความยั่งยืน ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ในส่วนของลอนดรี้บาร์เราให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม มาโดยตลอด เราเป็นร้านสะดวกซัก ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนและใช้น้ำยาซักผ้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly) มีการใช้เครื่องจ่ายน้ำยาเข้าเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดขยะจากแพคเกจ ซอง น้ำยาซัก น้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยในปีนี้เราจะวางจำหน่ายน้ำยาซัก น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรออแกนิกอีกด้วย รวมถึงเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าด้วยระบบซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Laundry) ที่ให้ลูกค้าสามารถจองเครื่องซักผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมการยกระดับร้านสะดวกซักเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์ ด้วยคอนเซปต์ LaundryBar Cafe ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าพักผ่อนหรือทำงานในระหว่างรอการซักผ้า เทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจยังรวมถึง บริการซัก-อบ 24 ชั่วโมงพร้อมจัดส่งถึงบ้าน เพื่อตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง และ การใช้เทคโนโลยีฆ่าเชื้อขั้นสูง เช่น…
ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิที่ 5,112 ล้านบาท ในไตรมาส 4 รวมเป็นกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท สำหรับรอบ 12 เดือน ปี 2567 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ดี สินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับต่ำที่ 2.59% พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ปี 2568 มุ่งสานต่อพันธกิจเพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น และร่วมสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมและการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 4 และรอบ 12 เดือน ปี 2567 โดยธนาคารและบริษัทย่อยยังคงมีผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมายและมีกำไรสุทธิที่ 5,112 ล้านบาท ในไตรมาส 4 รวม 12 เดือน ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท หนุนโดยการควบคุมต้นทุนใน 3 ส่วนหลัก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย ขณะที่สภาพคล่องและฐานะเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมธนาคารทั้งในด้านรายได้และคุณภาพสินทรัพย์ ทีทีบียังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน พร้อมทั้งดูแลคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญกับการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อให้การใช้ส่วนทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น สำหรับการบริหารต้นทุน ธนาคารในความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารต้นทุนทางการเงินผ่านการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน ในส่วนของต้นทุนการดำเนินงาน ธนาคารเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งยังคงเดินหน้าพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลและเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ในโมบายแอปพลิเคชัน เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการให้บริการมีแนวโน้มลดลง และท้ายสุด คือ การควบคุมต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ โดยที่ผ่านมาธนาคารเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและเน้นกลุ่มที่ธนาคารมีความชำนาญและเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็แก้ปัญหาหนี้เสียในเชิงรุก และให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการตั้งหลัก โครงการคุณสู้เราช่วย รวมไปถึงโครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ทีทีบีดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการรวบหนี้แล้วกว่า 37,000 ราย เพิ่มขึ้นจากระดับ 17,000 ราย ณ สิ้นปี 2566 เทียบเท่ากับว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,100 ล้านบาท จากการดำเนินการดังกล่าว สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงมีเสถียรภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 5% จากปีก่อนหน้าและอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.59% จาก 2.62% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลง 11% จากปีก่อน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2567 ทั้งนี้ แม้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จะลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพฯ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 151% นอกเหนือจากนั้น ธนาคารยังเดินหน้าตามแผนการบริหารส่วนทุนให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสม เช่น การไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 และลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่สำคัญคือการบริหารการใช้เงินทุนส่วนเกิน (Excess Capital) ให้เกิดประโยชน์ผ่านหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาแตะระดับ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตและบริษัท ที ลิสซิ่ง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และสำหรับปี 2568 นี้ ทีทีบีจะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบภายใต้กรอบ B+ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพสามารถสร้างประโยชน์ต่อสู่ผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งสานต่อพันธกิจมุ่งมั่นให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) พร้อมทั้งเดินหน้าสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลัก…
บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ชวนช้อปสุดฟิน รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Easy-E Receipt 2.0 พร้อมรับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม (เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีเป็นไปตามที่สรรพากรกำหนด) บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มอบเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 5,600 บาท เพียงใช้จ่ายตามแคมเปญ “Easy E-Receipt” รับเครดิตเงินคืนเพิ่มรวมสูงสุด 600 บาท และรับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 5,000 บาท เมื่อใช้จ่ายตามแคมเปญ “รูดช้อป คืนเงินแทบทุกหมวดในชีวิต” (ลงทะเบียนทั้ง 2 รายการ) (16 ม.ค. 68 – 28 ก.พ. 68), บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน ชวนช้อปคุ้มที่ห้างเซ็นทรัลหรือโรบินสันสาขาที่ร่วมรายการ 5,000 บาทขึ้นไป รับคูปองและเครดิตเงินคืนสุดคุ้ม พิเศษ รับเพิ่มบัตรของขวัญมูลค่า 100 บาท (จำกัดตามเงื่อนไข) (16 ม.ค. 68 – 28 ก.พ. 68), บัตรเครดิต กรุงศรี รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 350 บาท เมื่อสะสมยอดใช้จ่ายในหมวดกิน, ซูเปอร์มาร์เก็ต, สินค้าแฟชั่น และห้างชั้นนำครบ 30,000 บาทขึ้นไป (1 ก.พ. 68 – 28 ก.พ. 68) พร้อมสิทธิพิเศษ เช่น รับคืนรวมสูงสุด 15% ตามหมวดที่ร่วมรายการ, บัตรเครดิตโลตัส มอบเครดิตเงินคืนสูงสุด 5,000 บาทตลอดรายการ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรในแคมเปญช้อปคุ้มตัวแม่กับร้านค้าที่ร่วมรายการ (1 ม.ค. 68 – 30 เม.ย. 68) หรือรับความคุ้มคืนสูงสุด 3,300 บาทตลอดรายการ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่โลตัสทุกสาขา (1 ธ.ค. 67 – 28 ก.พ. 68)…
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดอีสท์สปริง หุ้นระยะยาวปันผล (ES-LTFD) สำหรับผลการดําเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย มูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท โดยกำหนดเงินจ่ายปันผลในวันที่ 22 มกราคม 2568 นี้ สำหรับกองทุนเปิดอีสท์สปริง หุ้นระยะยาวปันผล (ES-LTFD) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารแห่งทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยกองทุนดังกล่าวมีการจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนย้อนหลัง 5 ปี คือ รอบปีบัญชี 2562 อยู่ที่ 0.24 บาทต่อหน่วย รอบปีบัญชี 2563 อยู่ที่ 0.25 บาทต่อหน่วย รอบปีบัญชี 2564 อยู่ที่ 0.90 บาทต่อหน่วย รอบปีบัญชี 2565 อยู่ที่ 0.22 บาทต่อหน่วย รอบปีบัญชี 2566 อยู่ที่ 0.53 บาทต่อหน่วย โดยรวมกับจ่ายปันผลงวดนี้อีก 0.25 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินจ่ายปันผลทั้งสิ้น 2.39 บาทต่อหน่วย (ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง ณ วันที่ 15 มกราคม 2568) ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของบลจ.อีสท์สปริง หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงิน การฝากเงินมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้ และอาจไม่ได้รับชำระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนภายในระยะเวลาที่กำหนด หรืออาจไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามที่มีคำสั่งไว้
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปีนี้ได้รับผลการประเมินในระดับ AA ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings สะท้อนถึงความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของกรุงเทพประกันชีวิตที่มุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทย โดยให้ความสำคัญกับการ “ใส่ใจ” และ “เข้าใจ” ในความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการดีตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามกรอบ GRC (Governance, Risk and Compliance) โดยตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และพร้อมปรับตัว สร้างนวัตกรรม นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจเพื่อความสร้างความแตกต่าง กรุงเทพประกันชีวิตได้กำหนดกรอบความยั่งยืนตามกรอบ ESG ที่ครอบคลุมทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการผ่านกลยุทธ์ Happy ‘Ps’ ซึ่งมีความหมายครอบคลุม 3 เรื่องหลัก Happy Place “บ้านมีสุข” ภายใต้ค่านิยมขององค์กร 5 ประการ คือ ศรัทธา รับผิดชอบ จริงใจ พัฒนาคน และทำงานเป็นทีม การเป็นองค์กรที่่ประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมมาภิบาล เราให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อพนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต ที่ปรึกษาการเงิน คู่ค้า และพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อร่วมกันสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน Happy Peace “ใจมีสุข” การสร้างความสุขสงบทางใจให้กับลูกค้า ให้หมดห่วงต่อภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้น หากเผชิญกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ ในอนาคต ผ่านการวางแผนทางการเงินรอบด้าน ทั้งความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่ทันสมัย โปร่งใส ในราคาที่ยุติธรรม Happy People “เรามีสุข” เราร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยมีความตั้งใจที่จะให้ความรู้ทางด้านการเงิน และการประกันชีวิต เพื่อเป็นกลไกหนึ่งของสังคมในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทุกกลุ่ม และยังสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีความมุ่งมั่นเป็นองค์กรที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า…
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้การต้อนรับ นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งนำคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ เข้าร่วมอวยพรเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2568 พร้อมร่วมหารือแนวทางบูรณาการขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน และยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย อันเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน ณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน จัดพิธีทำบุญประจำปี 2568 ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร โดย นายโชติพัฒน์ และนางอาทินันท์ พีชานนท์ ประธานและรองประธานกรรมการบริหาร นำคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงาน ร่วมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด และทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 29 รูป พร้อมถวายเงินทำบุญสมทบเข้ากองทุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล และการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริหารและพนักงานในการเริ่มศักราชใหม่ รับแสงแรกแห่งอรุณไปด้วยกัน สำหรับกิจกรรมทำบุญปีใหม่นี้ ไทยกรุ๊ปฯ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และนำพาผู้บริหารและพนักงานไทยกรุ๊ป ได้ร่วมสัมผัสถึงความงดงามและความล้ำค่าของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย ที่วัดอรุณ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญและทรงคุณค่า ด้วยความหมายอันเป็นมงคลสื่อถึงอรุณรุ่งอันเรืองรองสว่างไสว และความผูกพันของไทยกรุ๊ปต่อการมีพระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นตราสัญลักษณ์ประจำบริษัทฯ นับตั้งแต่เริ่มต้นกิจการจนถึงปัจจุบัน ยาวนานกว่า 78 ปี รวมทั้งเป็นการทำนุบำรุงพระศาสนาและส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่คู่สังคมไทย ภายใต้แนวคิด “รักษ์มรดกไทย BY THAIGROUP”
หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจ Takaful (การประกันตามหลักอิสลาม) บริษัท Pru Life UK ได้ร่วมมือกับ Al Amanah Islamic Investment Bank of the Philippines (AAIIBP) ในการส่งเสริมการเงินอิสลามและ Takaful ผ่านการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินไปยังชุมชนฟิลิปปินส์มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตปกครองตนเองบังซามอร์โรว์ในมินดาเนา (BARMM)
บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีจากภาครัฐ “Easy E-Receipt 2.0” พร้อมนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุนที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ชูกองทุนแนะนำผ่านการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ย้ำต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568 เท่านั้น นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลผ่านโครงการ Easy E-Receipt 2.0 โดยนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุน (Front-end Fee และ Back-end Fee) ที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้แก่กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ ธุรกรรมการซื้อและขายกองทุน ต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายวินกล่าวต่อไปว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย ได้แก่ Core Portfolio ซึ่งเน้นลงทุนระยะยาวแบบจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำเป็นกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนผสมที่จัดพอร์ตการลงทุนให้สำเร็จรูป ประกอบด้วย 3 กองทุนตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ กองทุน K-WPBALANCED ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 55-85%, K-WPSPEEDUP ที่เน้นสัดส่วนในหุ้นมากขึ้น 50-80% และ K-WPULTIMATE…