งานวันเด็กแห่งชาติที่ออมสินคึกคัก นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ปี 2568 ภายใต้แนวคิด “ออมสิน สวนสนุกแห่งการออม” ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษที่มาในรูปแบบ Glamorous Carnival Magic Theme สวนสนุกที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การออม อย่างมีความสุขและสนุกสนานผ่านฐานกิจกรรมต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถพิเศษ และทักษะด้านกีฬา ตลอดจนส่งเสริมแนวคิดการช่วยเหลือสังคม พร้อมขบวนรถไฟสายความสุขให้น้อง ๆ รับความสนุกทั่วงาน นอกจากนี้ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กดีที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากโรงเรียนวัดไผ่ตัน ทุนการศึกษาจากแคมเปญ 111 ปี ออมดีมีทุน และทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการธนาคารโรงเรียนดิจิทัล พร้อมมอบกระปุก “น้องออมสินตัวตึง” ให้แก่เด็กและเยาวชนที่ลงทะเบียนฝากเงินไว้ ซึ่งกระปุกออมสินในปีนี้แสดงออกถึงความน่ารัก แสนรู้ และล้มลุกได้เหมือนมาสคอตของธนาคารออมสิน พร้อมทั้งออกแบบข้อความที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาเป็นลวดลายกระปุกโดยศิลปินออทิสติกจากมูลนิธิออทิสติกไทย นับเป็นการสร้างโอกาสด้านการแสดงออกถึงศักยภาพและส่งเสริมการใช้ศิลปะมาต่อยอดเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพกระจายรายได้สู่เครือข่ายของมูลนิธิฯ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้กับกลุ่มผู้เปราะบาง ตามภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ที่มุ่งสร้าง Social Impact ให้เกิดประโยชน์ที่ครอบคลุมต่อผู้คนและสังคมในวงกว้าง โดยมีผู้บริหารธนาคารออมสิน เด็กและผู้ปกครองร่วมงานกว่า 3,000 คน และมีหน่วยงานพันธมิตร ร่วมสร้างความสนุก อาทิ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด บริษัท เงินดีดี จำกัด และ กองทุนการออมแห่งชาติ ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 นอกจากนี้ ธนาคารได้นำคณะเด็กและเยาวชนดีเด่น จำนวน 20 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียนในโครงการธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน เข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมรับโล่ประกาศเกียรติคุณสำหรับผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์ ขยัน ประหยัด กตัญญูช่วยเหลือพ่อแม่…
Author: staff
นางสาวศิริพร เลิศสัตยสุกใส รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล มอบรางวัลพิเศษ 40 ล้านบาท ให้แก่ นายดนัย สุคนธโรจน์ ลูกค้าธนาคารออมสิน สาขาเดอะมอลล์ บางแค กรุงเทพฯ โดยเป็นผู้โชคดีถูกรางวัลพิเศษจากสลากออมสิน 1 ปี งวดที่ 607 หมวดอักษร J หมายเลขสลาก 0566264 จากแคมเปญแจกสะเทือนได้ลุ้นเฮงถึง 3 ต่อ ซึ่งเป็นการออกรางวัลพิเศษครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย โดยมีผู้บริหารร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ในโอกาสนี้ ธนาคารได้จัดทีมโค้ชออม เพื่อช่วยแนะนำผู้ถูกรางวัลในการบริหารจัดการเงินอย่างคุ้มค่า และให้มีเงินออมเพียงพอในยามเกษียณ สำหรับสลากออมสินพิเศษ 1 ปี หน่วยละ 100 บาท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด เมื่อฝากครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 0.25 บาท นอกจากนี้ ยังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวม 12 ครั้ง ผู้สนใจสามารถฝากสลากออมสินได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และแอป MyMo
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย (OIC Meets CEO 2025) ครั้งที่ 1/2568 ร่วมกับ นายสาระ ลํ่าซำ ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทย นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย พร้อมด้วย ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ผู้บริหารสมาคมประกันชีวิตไทย ผู้บริหารสมาคมประกันวินาศภัยไทย และผู้บริหารบริษัทประกันภัย เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุมมัฆวานรังสรรค์ ชั้น 3 สโมสรทหารบก (วิภาวดีรังสิต) กรุงเทพมหานคร โดยเริ่มต้นในช่วงเช้าผู้บริหารสำนักงาน คปภ. และผู้บริหารภาคธุรกิจประกันภัย เข้าสู่เวทีการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย (OIC Meets CEO 2025) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสรุปที่ประชุม (OIC Meets CEO 2024) ครั้งที่ 2/2567 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมีความคืบหน้าของการดำเนินการทั้ง 9 ประเด็น ดังนี้ 1. ความคืบหน้าการจัดทำ Examination Form โดยมีการสื่อสารกรอบระยะเวลาการดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบ เพื่อทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมในการจัดทำ Examination Form และกำหนดกรอบระยะเวลาการประชุมคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับรองการตอบและการนำส่ง Examination Form ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด 2. ความคืบหน้าโครงการ Ignite Finance การจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ที่จะดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน เข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้มีทรัพยากรด้านการเงินเพิ่มขึ้น และเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยสำนักงาน คปภ.…
นายอรรถพล พิบูลธนพัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. โดยสายตรวจสอบคนกลางประกันภัย ได้จัดทำคู่มือเผยแพร่ความรู้และแนวทางกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยเบื้องต้นสำหรับการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) และการประกันอัคคีภัย เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลวิธีการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้เหมาะสม และเป็นแนวทางให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยตรวจสอบข้อมูลที่สำคัญก่อนตกลงทำสัญญาประกันภัย ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติของการประกันภัยทรัพย์สิน โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างเหมาะสม รวมถึงเงื่อนไขที่ควรรู้ในกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการทำประกันภัยทรัพย์สิน สำหรับการจัดทำคู่มือเผยแพร่ความรู้และแนวทางกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยเบื้องต้นสำหรับการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) และการประกันอัคคีภัยฉบับนี้ เน้นถึงความสำคัญของการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงด้านการเงินในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติ การกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง หรือที่เรียกว่าการประกันภัยต่ำกว่ามูลค่า (Under Insurance) อาจทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนที่เกินเองในทางกลับกัน หากกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยเกินกว่ามูลค่าทรัพย์สิน (Over Insurance) จะส่งผลให้เสียค่าเบี้ยประกันภัยสูงเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเภทของทรัพย์สินที่สามารถเอาประกันภัยได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้านหรืออาคารที่อยู่อาศัย รวมถึงทรัพย์สินภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รวมถึงทรัพย์สินเพิ่มเติม เช่น แผงโซลาร์เซลล์ โดยสามารถแจ้งขอความคุ้มครองเพิ่มเติมจากบริษัทประกันภัยได้ เพื่อให้เจ้าของบ้านและที่อยู่อาศัยทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว หรือคอนโดมิเนียม รวมถึงผู้ที่กำลังวางแผนทำประกันอัคคีภัยครั้งแรก หรือผู้ที่ต้องการตรวจสอบความคุ้มครองในกรมธรรม์ปัจจุบัน มั่นใจว่าทรัพย์สินของตนได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม และยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย ทั้งมูลค่าที่เป็นของใหม่และมูลค่าที่แท้จริงหลังหักค่าเสื่อมราคาอีกด้วย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย กล่าวด้วยว่า คู่มือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอหลักการสำคัญ ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เพื่อช่วยประชาชนในการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากบ้านมีขนาด 100 ตารางเมตร การเลือกคุ้มครองแบบมูลค่าที่เป็นของใหม่จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองครอบคลุมตามราคาสร้างบ้านใหม่ในปัจจุบัน ขณะที่การเลือกแบบมูลค่าที่แท้จริงหลังหักค่าเสื่อมราคาจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันภัยแต่ยังคงครอบคลุมความเสียหายตามมูลค่าที่แท้จริง เพื่อความสะดวกของประชาชน สำนักงาน คปภ. ยังจัดทำโปรแกรมช่วยคำนวณออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ https://smart.oic.or.th/EService/Menu10 ซึ่งโปรแกรมนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินมูลค่าทรัพย์สินในเบื้องต้น ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยได้อย่างเหมาะสม “คู่มือเผยแพร่ความรู้และแนวทางกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยเบื้องต้นสำหรับการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) และการประกันอัคคีภัยฉบับนี้ เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของสำนักงาน คปภ. ที่ต้องการสนับสนุนให้ประชาชนมีความมั่นคงด้านการเงิน และเพิ่มความมั่นใจในการปกป้องทรัพย์สินอันมีค่าของตนเองโดยนำระบบการประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และขอแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลในกรมธรรม์อย่างละเอียด ทั้งในส่วนของทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครอง เงื่อนไขการคุ้มครอง และข้อยกเว้นต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาในการเรียกร้องสินไหมทดแทนในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน เช่น…
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.ยูโอบี เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด พันธบัตรรัฐต่างประเทศ 6 เดือน 3 (UFGOV6M3) เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐสิงคโปร์ อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 1.85% ต่อปี (ข้อมูลจากอัตราผลตอบแทนที่เสนอโดยผู้ออกตราสาร หรือจากผู้ขาย ณ วันที่ 17 มกราคม 2568) ขนาดโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยเสนอขายในราคา 10 บาทต่อหน่วย และยอดลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท กองทุน UFGOV6M3 มีความเสี่ยงระดับ 3 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ ที่รัฐบาล หรือ กระทรวงการคลัง หรือองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ เป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน รวมถึงหลักทรัพย์อื่นหรือทรัพย์สินอื่นใดที่เสนอขายในต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจ และ/หรือตราสารหนี้ภาคเอกชน และ/หรือเงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้มีฐานะการลงทุนสุทธิ (net exposure) ในต่างประเทศหรือที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Rate Risk) ทั้งจำนวน (Fully Hedged) โดยกองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบครั้งเดียว โดยจะถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการของกองทุนรวม (buy-and-hold) กองทุน UFGOV6M3 ไม่มีค่าธรรมเนียมการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะดำเนินการรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามราคารับซื้อคืน ณ วันที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ โดยการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปยังกองทุนรวมตลาดเงิน คือ กองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี ชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UOBSD) และ/หรือกองทุนรวมตราสารหนี้อื่นใดที่บริษัทจัดการเปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ซึ่งเป็นกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ โดยถือว่าได้รับความยินยอมจากผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว กองทุนนี้จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการ โดยการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนรวมตลาดเงิน คือ กองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี ชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UOBSD) และ/หรือกองทุนรวมตราสารหนี้อื่นใดที่บริษัทจัดการเปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ซึ่งเป็นกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืน ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่บริษัทจัดการกำหนด…
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ยังมีสัญญาณฟื้นตัวไม่ทั่วถึง (K-Shaped Recovery) แม้ในภาพรวมสามารถประคองการขยายตัวไว้ได้ในระดับที่สูงกว่าปี 2566 โดยภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าบางหมวดที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยีขยายตัวได้ดี แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนยังมีสัญญาณอ่อนแอท่ามกลางแรงกดดันต่อเนื่องจากปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ข้อจำกัดของกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ และปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สำหรับในปี 2568 แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากหลายด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ปัญหาในภาคการผลิตและภาระหนี้เอกชนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยต่าง ๆ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น การดูแลช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) ตลอดจนการให้ความร่วมมือโครงการภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 4 ปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 25,513 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,665 ล้านบาท หรือ 6.13% จากไตรมาส 3 ปี 2567 โดยรายได้จากการดำเนินงานสุทธิมีจำนวน 48,685 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 23,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,671 ล้านบาท หรือ 7.77% ซึ่งเป็นตามฤดูกาล รวมทั้งมีการตั้งสำรองผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 12,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 590 ล้านบาท หรือ 5.06% ตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2567 มีจำนวน 10,494 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,471 ล้านบาท หรือ 12.30% จากไตรมาสก่อน ในปี 2567…
บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจประกันและการเงินในเครือทีซีซี เชิญชวนผู้รักสุขภาพและประชาชนที่สนใจ เลือกซื้อสินค้าออร์แกนิก สินค้าเพื่อสุขภาพ และสินค้าคุณภาพที่ถูกคัดสรรเป็นอย่างดี ในงาน “Green Mart by Thai Group” พบกับผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งอุปโภคและบริโภคจากผู้ประกอบการ อาทิ อาหาร ผักผลไม้ปลอดสารพิษ สินค้าเพื่อสุขภาพ ของใช้ที่ผลิตจากธรรมชาติปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 (โปรดตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ภายในงาน) และขอร่วมรณรงค์นำถุงผ้าและภาชนะใส่ของมาช้อปแทนการใช้ถุงพลาสติกเพื่อช่วยกันลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 มกราคม 2568 ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. ณ ชั้น L อาคารไทยกรุ๊ป สำนักงานใหญ่ ถนนสีลม
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดย คุณกาญจน์ณัฐ เฉลิมจุฬามณี ผู้บริหารศูนย์การเรียนรู้เงินติดล้อ (TIDLOR Academy) นำทีมงานต้อนรับผู้บริหารและพนักงานจาก บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ที่เข้าร่วมอบรมพัฒนาบุคลากรกับสถาบัน Beyond Training จำนวนทั้งหมด 36 ท่าน เข้าร่วมกิจกรรม “TIDLOR Culture Wow” เพื่อแบ่งปันและแลกเปลี่ยนแนวทางการสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร พร้อมเยี่ยมชมแผนกต่างๆ อาทิ ฝ่ายวิเคราะห์และพัฒนา (Analytics & Development) ฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน (Financial Education หรือ FIN-ED) และฝ่ายนายหน้าประกันภัย “อารีเกเตอร์” (Areegator) แพลตฟอร์มเสนอขายประกันออนไลน์ผ่านสมาชิกตัวแทนนายหน้าประกัน นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยถาม-ตอบอย่างใกล้ชิดกับคณะผู้บริหารและทีม Culture Gangster เกี่ยวกับแนวทางและวิธีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืน กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ อาคารอารีย์ ฮิลล์ เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้หลักสูตร TIDLOR Culture Wow และ TIDLOR Culture Campภายใต้โครงการ TIDLOR Academy จัดขึ้นสำหรับบุคคลและบริษัทภายนอกที่สนใจการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ผ่านแนวคิดและประสบการณ์จริงในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยวัฒนธรรมองค์กรในแบบฉบับเงินติดล้อ เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป สำหรับผู้สนใจออกแบบค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรผ่านเวิร์กช็อปที่สามารถนำไปใช้ได้จริง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ www.tidlor.com/academy หรือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-792-1990
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ในปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาจมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะโดดเด่นขึ้น ซึ่งเปรียบเทียบจากการผ่อนคลายกฎระเบียบและการจัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหม่ ถึงแม้ความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายยังคงอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม อย่างไรก็ตาม การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ อาจชะลอลงในปีนี้จากการขึ้นอัตราภาษี และอาจเพิ่มขึ้นในปี 2569 หากมีการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% ในขณะที่จีนอาจจะมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโต้แรงกดดันจากภายนอก ทำให้หลายประเทศอาจดำเนินนโยบายการคลังที่รัดเข็มขัดขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินจากภาครัฐอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกได้มากนัก ขณะที่ธนาคารกลางในประเทศที่สำคัญๆ อาจจะมีการปรัดลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอลง แต่ความเร็วในการลดดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ดังนั้น การจัดพอร์ตต้องเน้นความสมดุลมากขึ้นระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้น โดยมองโอกาสและปัจจัยที่สำคัญในแต่ละสินทรัพย์ดังนี้ ตลาดตราสารหนี้ โดยธนาคารกลางหลัก ๆ ของโลกอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง รวมถึงตลาดตราสารหนี้ก็ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องโดยแกว่งตัวระหว่าง “ความหวัง” ของนักลงทุน และ “การดำเนินการ” ของผู้ดำเนินนโยบาย โดยมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยยังไม่ได้สูงเหมือนในต่างประเทศ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความอ่อนแอในประเทศ และความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อประเทศไทยทั้งทางตรงผ่านการส่งออก และทางอ้อมผ่านการอ่อนตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าของไทย ถึงแม้ว่าหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และเงินเฟ้อที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจเปิดทางให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยลงได้ 2 ครั้งในปีนี้ จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTFIXPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ NAV และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้นพลัส (KTSTPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉลี่ยตราสารอายุไม่เกิน 1 ปี ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางดอกเบี้ยลดลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนยังได้รับความท้าทายจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของสงครามการค้า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และความสามารถในการบริโภคที่ด้อยลงจากหนี้ครัวเรือน จึงแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และอีกกองทุนคือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) (ความเสี่ยงระดับ 6)…
• กำไรสุทธิ 2,852.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ลดลง 77.7% หรือ 1,246.8 ล้านบาท • รายได้จากการดำเนินงาน 15,102.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% หรือ 1,331 ล้านบาท • รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 237.4 ล้านบาท หรือ 19.9% • เงินให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% • เงินฝากอยู่ที่ 324 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% • อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 2.6% ลดลงจาก 3.3% พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31ธันวาคม 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,852.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,246.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.7 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2566 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ร้อยละ 13.7 สุทธิกับการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้อยละ 2.6 รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 15,102.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น …