บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต โดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมสักการะพระพรหม พร้อมทำบุญเลี้ยงพระ ในโอกาสครบรอบ 73 ปีในการดำเนินธุรกิจในวันที่ 11 มกราคม 2565 เพื่อความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนไทยด้วยพลังความรัก ให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความมั่นคงทางการเงิน และมีพลังในการดูแลช่วยเหลือแบ่งปันผู้อื่น มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเคียงข้างสังคมไทยตลอดไป ณ บริเวณหน้าอาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 สำนักงานใหญ่ พร้อมกับสาขาทั่วประเทศ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ใช้ความรักเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรมายาวนาน 73 ปี พร้อมส่งมอบความรักให้ลูกค้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์ และการบริการด้านประกันชีวิต ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ช่วยให้การประกันชีวิตเป็นเรื่องง่าย และสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมทีมที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตมืออาชีพ ที่พร้อมดูแลและสนับสนุนให้ลูกค้าทุกคนได้ทำสิ่งที่รัก เพื่อคนที่รักได้อย่างเต็มที่ ร่วมติดตามข่าวสาร และกิจกรรมดี ๆ ได้ที่ OCEAN CLUB APP / LINE / Facebook / Instagram / Youtube : oceanlife เว็บไซต์ www.ocean.co.th หรือติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0 2207 8888
Author: staff
“เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์” ตอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ด้วยบริการพิเศษรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่ช่วยประสานงานจัดหาเตียงสำหรับการรักษา บริการ Telemedicine จนถึงการจองสิทธิการตรวจเช็คภูมิคุ้มกันโควิด-19 ในราคาพิเศษ ย้ำการเป็น Lifetime Partner ที่อยู่เคียงข้างลูกค้าทุกสถานการณ์ นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “วิกฤติการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกใหม่ที่กำลังเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน (Omicron) ที่มีการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจและหลอดลม รวมถึงการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หลายเท่า ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน และสร้างกังวลใจให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ขอยึดมั่นให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและพร้อมคุ้มครองลูกค้าตามสิทธิในกรมธรรม์ ทั้งการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่าง ๆ และการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมทั้งการมอบบริการพิเศษต่าง ๆ ไปจนถึงการดูแลรักษา อาทิ บริการโทรเวชกรรม (Telemedicine) ที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตร อำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มลูกค้าเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ที่ถือกรมธรรม์ที่มีผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) ทั้งประกันภัยรายบุคคลและประกันภัยแบบกลุ่ม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านแอปพลิเคชัน Raksa แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องสำรองจ่าย นอกจากนี้ยังมีบริการพิเศษ FIND HOSPITAL by Generali เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของเจนเนอราลี่ที่ติดเชื้อโควิด-19 ในการประสานช่วยหาโรงพยาบาลเพื่อจัดส่งตัวเข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาล โดยทางบริษัทฯ จะดำเนินการประสานกับโรงพยาบาลเอกชนในเครือข่ายที่มีทั่วประเทศ ลูกค้าสามารถติดต่อผ่านศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 1394 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 8:30 -17:00 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)ทั้งนี้ ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวันสำหรับลูกค้าทุกกรมธรรม์ที่ติดเชื้อโควิด-19 อยู่ภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละประเภท นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังมีความกังวลใจ สามารถรับสิทธิพิเศษลงทะเบียนจองโปรแกรมตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกันโควิด-19 ในราคาพิเศษจากโรงพยาบาลในเครือข่ายเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ที่ร่วมรายการ ผ่าน LINE Official @Generalithailand ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม และสามารถใช้สิทธิได้ถึง 31 มกราคม 2565 นายบัณฑิต กล่าวต่อว่า “การให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพของบริษัทฯ และการมอบทุกบริการพิเศษของเจนเนอราลี่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามั่นใจว่าเจนเนอราลี่พร้อมรับมือการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19…
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายกฤษณ์ จันทโนทก (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวญดา วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายดูแลลูกค้า เปิดตัวแคมเปญพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย มีอายุครบ 7 รอบในปีนี้ โดยได้จับมือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ นำโดย นายสมหวัง โตรักตระกูล (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด และนางสาวพัทธ์หทัย กุลจันทร์ (ขวาสุด) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นตัวแทนผู้บริหารบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ รับสิทธิจ่ายเบี้ยประกันชีวิตปีแรกแบบผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 7 เดือน ตั้งแต่ 8 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 เมื่อซื้อกรมธรรม์ที่ร่วมรายการและชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตปีแรกผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่ 3,500 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป พร้อมลงทะเบียนสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัตรเครดิต (Auto Pay) สำหรับการชำระค่าเบี้ยประกันภัยปีต่ออายุ (โดยต้องทำรายการผ่อนชำระผ่านทางระบบ iPoS+ โดยตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอเท่านั้น) พร้อมรับเครดิตเงินคืนสุดคุ้ม สูงสุดถึง 7,777 บาทต่อบัญชีหมายเลขบัตรตลอดรายการ เพียงลงทะเบียนรับสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE หรือ SMS ก่อนทำรายการผ่อนชำระ พิเศษ! สิทธิประโยชน์อีกต่อ สามารถใช้คะแนนสะสมแลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 11% หรือสูงสุด 7,700 บาท สำหรับบัตรเครดิตกรุงศรีและบัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า ทุก ๆ 7,000 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืน 700 บาท และสำหรับบัตรเครดิต เอไอเอ วีซ่า ทุก ๆ 7,000 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืน…
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เปิดตัวโฆษณาออนไลน์ชุดใหม่ “แคร์คุณกว่าใคร – เจ็บป่วยก็อุ่นใจ ยังมีใครคอยแคร์” โดยภาพโฆษณาดังกล่าวเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประสบการณ์จริงของลูกค้า (ปรมินทร์ โพธิ์งามทิพยกุล) ที่ประทับใจการรับบริการด้านสุขภาพจากโครงการ แคร์คุณกว่าใคร โดยโฆษณาดังกล่าว เน้นการสื่อสารพลังบวกที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้เพื่อครอบครัว และคนรอบข้าง โดยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากทีมพยาบาลแคร์คุณกว่าใครได้ทันเวลา ทำให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และรู้สึกอุ่นใจจากการที่มีทีมแคร์คุณกว่าใครคอยดูแล จนสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว ทั้งนี้ โครงการแคร์คุณกว่าใคร เป็นบริการพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2562 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,100 ราย บริษัทฯ มุ่งมั่นการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และเป็นเพื่อนคู่คิดกับลูกค้าของเรา เมื่อเจ็บป่วยก็อุ่นใจ เพราะยังมีเราที่คอยแคร์ และพร้อมจะอยู่เคียงทุกความเชื่อมั่น และดูแลกันตลอดไป ท่านสามารถติดตามโฆษณาออนไลน์ชุดนี้ได้ทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ทุกช่องทาง ทั้ง YouTube Facebook Line Instagram Twitter LinkedIn LinkedIn เพียงพิมพ์Krungthai-AXA Life หรือ สแกน QRCode ด้านล่างหรือคลิ๊กที่ลิงค์ https://ktaxa.live/careco-vdo-22 และสำหรับลูกค้าที่สนใจรับบริการ “โครงการแคร์คุณกว่าใคร” หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ลงทะเบียน https://www.krungthai-axa.co.th/th/care-coordination
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำการดำเนินงานภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ที่พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ เมืองไทยประกันชีวิตได้ร่วมกับโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้าร่วมโครงการ “การให้บริการพบแพทย์และได้รับยาตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ ผ่านทางโทรเวชกรรม (Telemedicine)” สำหรับผู้เอาประกันภัยมีโรคเรื้อรังและมีนัดตรวจติดตามการรักษา ทำการขยายระยะเวลาให้บริการถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 เพื่อเป็นการมอบความอุ่นใจ การอำนวยความสะดวก และการลดความเสี่ยงจากการเดินทางออกจากบ้านให้กับผู้เอาประกันภัย นอกจากนี้โครงการให้บริการดังกล่าว ยังได้มีโรงพยาบาลคู่สัญญาเข้าร่วมให้บริการดังกล่าวเพิ่มเติมอีก จำนวน 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ทำให้ปัจจุบันมีโรงพยาบาลคู่สัญญาเข้าร่วมให้บริการ Telemedicine กับเมืองไทยประกันชีวิตแล้วเป็นจำนวน 38 แห่ง โดยผู้เอาประกันภัยที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและมีความประสงค์ใช้บริการ Telemedicine นี้ จะต้องเป็นผู้ป่วยเดิมที่มีประวัติการรักษาในโรงพยาบาลที่ให้บริการตามที่กำหนด โดยเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีการติดตามและต้องได้รับยาต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยบริการดังกล่าวจะครอบคลุมการพบแพทย์ และการสั่งยา ทั้งนี้สามารถใช้บริการได้ทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่มีผลประโยชน์ ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาลกำหนด) สำหรับบริการ Telemedicine Samitivej Virtual Hospital ยังคงให้บริการตามเงื่อนไขปกติ ครอบคลุมทั้ง การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไข้เดิมของทางโรงพยาบาล ครอบคลุมทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม (เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลและกรมธรรม์กำหนด) โดยสามารถรับบริการ Telemedicine สำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง จากโรงพยาบาลคู่สัญญาทั้ง 38 แห่ง ดังนี้ 1 Samitivej Virtual Hospital กรุงเทพฯ 2 โรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค กรุงเทพฯ 3 โรงพยาบาลเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 4 โรงพยาบาลเทพธารินทร์ กรุงเทพฯ 5 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ กรุงเทพฯ 6 โรงพยาบาลบางปะกอก 1 กรุงเทพฯ 7…
บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนากองทุน ETF รูปแบบใหม่ ที่สามารถลงทุนได้ทั้งผ่านตลาดหลักทรัพย์และผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยมีกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ (UHERO) ซึ่งเป็น Thematic ETF กองแรกในไทย ที่มาพร้อมโอกาสการลงทุนลงทุนในเกมและอีสปอร์ตที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยต้องการให้นักลงทุนไทยได้มีโอกาสเข้าถึง ETF ได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องนำเงินไปซื้อกองทุนในต่างประเทศโดยตรง และมีการจัดการความเสี่ยงเรื่องค่าเงินจากการลงทุนผ่านนโยบายของกองทุน ซึ่งจะเริ่มเปิดเสนอขายครั้งแรก 17-21 มกราคม 2565 และจะซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ได้วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันอุตสาหกรรมเกมได้มีการเติบโตทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจ การเข้าถึงของผู้บริโภค และรูปแบบของเกมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมเกมมีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปี 2020 และมีมูลค่ากว่า 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 จากการเข้าถึงเกมผ่านสมาร์ทโฟนที่ง่ายกว่าในอดีต อุตสาหกรรมเกมในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแต่การให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่เกมยังเป็นตัวสร้างรายได้หรือเป็นการลงทุนให้กับผู้เล่นเกมอีกทางหนึ่งด้วย ในขณะธุรกิจอีสปอร์ต ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทำให้อีสปอร์ต เป็นกีฬาอาชีพ ในระดับนานาชาติ รวมถึงประเทศไทยที่ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในปีที่ผ่านมาให้ อีสปอร์ต เป็นกีฬาอาชีพในไทยเช่นกัน และจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่อรายได้ของอุตสาหกรรมเกมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการเข้ามาของ Metaverse จะยิ่งทำให้อุตสาหกรรมเกมได้รับผลประโยชน์เชิงบวกได้ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ในระยะยาวนั้น เชื่อว่าอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต จะยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป” กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ (UHERO) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 เน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Global X Video Games & Esports ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งจะไปลงทุนตามดัชนี Solactive Video Games & E-sports Index ซึ่งดัชนีจะประกอบด้วย 30-40 บริษัทที่มีรายได้มาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเกมและอีสปอร์ต โดยมีทั้งผู้ผลิต Software…
คปภ. พร้อมยืนหยัดคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนยืนยันกรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบเจอ จ่าย จบ ยังให้ความคุ้มครองปกติสามารถเคลมประกันภัยกับบริษัทประกันภัยได้ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2565 ศาลปกครองกลางนัดไต่สวนคดีที่บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับพวกยื่นฟ้อง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กรณีขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่อง ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัทในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัยลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่องให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี หรือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นโดยได้นัดทั้งสองฝ่ายมาไต่สวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาว่าจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ซึ่งในระหว่างที่ศาลฯ ยังไม่ได้รับฟ้องและมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวฯ ตามที่บริษัทประกันภัยผู้ฟ้องคดียื่นคำขอ กรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบเจอ จ่าย จบ ยังคงมีผลใช้บังคับและให้ความคุ้มครองตามปกติ กรณีผู้เอาประกันภัยติดเชื้อและมีหลักฐานยืนยัน ก็สามารถเคลมประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่ฟ้องคดีได้ต่อไปหากต่อมาศาลฯรับฟ้องและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว บริษัทฯ จะนำคำสั่งศาลมาเป็นเครื่องมือและอ้างในการนำมายกเลิกสัญญากับผู้เอาประกันภัย และจะทำให้ผู้เอาประกันภัยโควิดทั้งหมดกว่า 10 ล้านคนถูกลอยแพแน่นอน แต่ไม่ว่าศาลจะมีคำสั่งออกมาเป็นประการใด สำนักงาน คปภ. พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนและผู้เอาประกันภัย เพื่อไม่ให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ที่ให้บริษัทประกันภัยจะใช้เป็นเหตุในการบิดเบือนนำเหตุที่เกิดจากการบริหารความเสี่ยงที่ผิดพลาดของตนเอง และผลักภาระกลับไปให้กับประชาชนและผู้เอาประกันภัย เพราะจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความเชื่อถือที่ประชาชนมอบให้บริษัทประกันภัยในการบริหารจัดการความเสี่ยง เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่าในสัปดาห์หน้าจะเชิญบริษัทประกันภัยทั้ง 14 บริษัท ที่ขายประกันภัยโควิดแบบเจอ จ่าย จบ มาประชุมเพื่อทำความเข้าใจ และขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าระหว่างที่ศาลปกครองกลาง ยังไม่มีคำวินิจฉัยอะไรในเรื่องนี้ออกมา บริษัทประกันภัยทุกบริษัท จะต้องดูแลประชาชนผู้เอาประกันภัยโควิด แบบเจอ จ่าย จบ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย เพราะถือว่าคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564ยังมีผลตามกฎหมายอยู่ อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัย นอกจากนี้ในการดำเนินการคู่ขนาน ได้ตั้งทีมเพื่อให้เดินหน้าแนวทางตามมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือบริษัทประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากประกันภัยโควิดแบบเจอ จ่าย จบด้วยซึ่งมีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง“ถ้าเมื่อใดที่ความเสี่ยงภัยเปลี่ยนไป แล้วบริษัทประกันภัยสามารถอ้างเหตุนี้มายกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้แบบเหมาเข่ง ก็ย่อมจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในระบบประกันภัยของโลก จนลุกลามกระทบต่อความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชน แล้วเช่นนี้ประชาชนจะซื้อประกันภัยไปทำไม”…
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายเดวิด โครูนิช (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายสหพล พลปัถพี (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานช่องทางตัวแทน พร้อมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ จัดงานประชุมตัวแทนทั่วประเทศ “Agency Kick off, 2022 On the Rise : ปีรุ่งมุ่งสู่ความสำเร็จ” ในรูปแบบ Virtual Event ต้อนรับศักราชใหม่อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมประกาศทิศทางและนโยบายตัวแทนในปี 2022 พร้อมตั้งเป้าหมายสู่บริษัทประกันชีวิตที่จะเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต ด้วยแนวทางการทำงานที่ยึดลูกค้าเป็นหลัก (customer-led) โดยมุ่งเน้นที่จะทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่าย โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างความแตกต่าง และสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ในงานมีตัวแทนเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิตทั่วประเทศเข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน
เลขาธิการ คปภ. สั่งทีมกฎหมายตรวจสอบกรณีโพสต์ออนไลน์จ้างเด็กเอ็นติดเชื้อหวังเคลมประกันโควิด หากพบผิดจริงให้ดำเนินการทางกฎหมายเด็ดขาด เตือนอย่าเสี่ยงทำ เพราะอาจเข้าข่ายไม่สุจริต หรือเป็นการฉ้อฉลประกันภัยและอาจชวดเงินประกันภัย ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ประกาศจ้างเด็กเอ็น โดยขอเป็นเด็กเอ็นที่ต้องติดเชื้อโควิดเท่านั้น และมีผลตรวจ ATK ยืนยันผล เพื่อต้องการติดเชื้อโควิดและเรียกร้องเอาเงินประกันภัยจากบริษัทประกันภัย การกระทำในลักษณะนี้อาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยและอาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย สำนักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ส่งทีมสายกฎหมายและคดีเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบตัวผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้โพสต์ดังกล่าวได้มีการเอาประกันภัยโควิด (covid-19) กับบริษัทแห่งหนึ่งด้วย ทั้งนี้สำนักงาน คปภ. จะเร่งตรวจสอบและหากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจะกระทำความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ในปัจจุบัน อาจสุ่มเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิต และเป็นเหตุให้ไม่ได้รับเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย(โควิด-19) หากเข้ากรณีการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งหากเข้าลักษณะทุจริตก็อาจถูกดำเนินคดีกรณีเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยอีกด้วย ซึ่งการนำเข้าข้อมูลผ่านสื่อสารสนเทศ สามารถตรวจสอบหมายเลข IP Address ของผู้โพสต์ได้ และเมื่อทราบตัวผู้กระทำความผิด ก็จะสามารถทราบได้ว่าผู้กระทำจงใจกระทำความผิดเอง หรือเข้ามาพิมพ์ด้วยความคึกคะนอง หรือมีผู้ใช้ให้เข้ามาปล่อยข่าวให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับธุรกิจประกันวินาศภัยมีกลไกการป้องกันที่กำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถกระทำได้ คือ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชดใช้เงิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2559 โดยให้บริษัทมีระบบตรวจทานความถูกต้องของการรับประกันภัยและข้อมูลเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฯ ที่ชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้ ส่วนในเงื่อนไขกรมธรรมประกันภัย เจอ จ่าย จบ จะมีกำหนดเงื่อนไขทั่วไป “กรณีมีเหตุสงสัยว่าการเรียกร้องเป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ ให้บริษัทฯ มีสิทธิตรวจสอบและขยายระยะเวลาการจ่ายออกไปตามความจำเป็นไม่เกิน 90 วัน” ซึ่งอาจจะกระทบต่อการจ่ายเคลมเพราะบริษัทมีสิทธิอ้างเป็นเหตุใช้เวลาในการตรวจสอบ เลขาธิการ คปภ. ฝากย้ำเตือนประชาชนว่ากรณีเมื่อทำประกันภัยแล้ว และเข้าไปที่เสี่ยงเพื่อหวังผลให้ติดเชื้อแล้วเคลมประกันหรือเอาตัวเองไปเสี่ยงรับเชื้อ เพื่อหวังเงินประกันภัย บริษัทอาจจะอ้างเหตุไม่จ่ายสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากเป็นกรณีมีการเจตนา จงใจ โดยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หากมีหลักฐาน และถ้าเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยจะมีความผิดทางอาญาด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงไม่ต้องการให้มีพฤติการณ์ใดๆ ที่จะทำให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวของประชาชนผู้สุจริตต้องเสียไป และจะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการสกัดกั้นพฤติการณ์นี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยของประชาชนอย่างทุกรูปแบบ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจต่อระบบประกันภัย สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ในทุกสถานการณ์ หากประชาชนพบพฤติกรรมดังกล่าวขอให้รีบแจ้งสำนักงาน คปภ. เพื่อจะดำเนินการสืบสวนสอบสวน หากพบว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย ได้ดำเนินการวิเคราะห์และติดตามความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย เพื่อลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยง และความรุนแรงของความเสี่ยงภายในธุรกิจประกันภัย โดยได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงของธุรกิจประกันภัยไทย ประจำปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวทางและมุมมอง ประกอบการวิเคราะห์และติดตามความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทยให้ครอบคลุมทุกมิติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงนำผลสำรวจดังกล่าวมาเป็นข้อมูลความเสี่ยงประกอบการกำหนดสถานการณ์จำลอง ในการจัดทำการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ซึ่งครอบคลุมทั้งกลุ่มธุรกิจประกันชีวิต และกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัย โดยแบบสอบถามจะสำรวจถึงแหล่งที่มาของความเสี่ยง พร้อมจัดอันดับความเสี่ยงสำคัญ 5 อันดับแรก ที่หากเกิดขึ้นในอนาคต และจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้งมีการสำรวจมุมมองต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทย ในระยะข้างหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจขึ้นได้อย่างทันท่วงที เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นความเสี่ยงสำคัญ 5 อันดับแรก ทั้งจากธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัย พบว่า มีความคล้ายคลึงกันส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ซึ่งถือว่าเป็น External Factors ที่ยากต่อการควบคุม โดยผลการสำรวจความเสี่ยงสำคัญ 5 อันดับแรก ที่ธุรกิจประกันชีวิต เห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจ มีดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย อาทิ ความเสี่ยงที่เกิดภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ อาทิ การโจมตีไซเบอร์ 3. โรคระบาดหรือติดเชื้อ อาทิ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 4. ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก/การชะงักงันทางเศรษฐกิจ โดยให้ความเห็นว่าเป็นความเสี่ยงที่บริหารจัดการยากที่สุด และ 5. ความเสี่ยงจาก Disruptive Technology อาทิ Cryptocurrency, AI และ Big Data สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นของความเสี่ยงสำคัญ 5 อันดับแรก ที่ธุรกิจประกันวินาศภัย เห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกอบธุรกิจ มีดังนี้ 1. โรคระบาดหรือติดเชื้อ อาทิ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยให้ความเห็นเป็นความเสี่ยงที่บริหารจัดการยากที่สุด 2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ อาทิ การโจมตีไซเบอร์ 3. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก/การชะงักงันทางเศรษฐกิจ 4. สภาพการแข่งขันในตลาดประกันภัยที่รุนแรง และ 5. ความเสี่ยงจาก Disruptive Technology อาทิ Cryptocurrency, AI, Big Data และภัยธรรมชาติ/ภัยพิบัติ ในส่วนของมุมมองต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทยในระยะข้างหน้า ทั้งธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันวินาศภัย ส่วนใหญ่ประเมินว่ามีความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทยอยู่ในระดับ “ปานกลาง” ถึง “สูง” ทั้งในระยะสั้น 1 ปีข้างหน้า และระยะปานกลาง 1-3 ปีข้างหน้า อีกทั้ง มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงในระยะสั้นและระยะยาวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยภาพรวมทั้ง 2 ธุรกิจยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ตอบ “ค่อนข้างมั่นใจ” เกิน 50% ของจำนวนผู้ที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด “จากผลสำรวจ Risk Survey ที่ได้รับในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยทราบความคิดเห็นของผู้บริหารธุรกิจประกันภัยไทย สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจได้ว่าระบบประกันภัยยังมีความพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนได้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย