Author: staff

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จำนวน119 รูป พิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลและจัดพิธีถวายพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยผู้ทรงก่อตั้งธนาคาร ไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยแห่งแรกของประเทศ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสครบรอบการดำเนินกิจการครบ 118 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 30 มกราคม ของทุกปี โดยมี นายประสัณห์ เชื้อพานิช กรรมการ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) และ กรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วยกรรมการ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้บริหารและพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ รวมถึงบริษัทในกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ร่วมในพิธี ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ธนาคารมุ่งมั่นสานต่อปีที่118 ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ‘Digital Bank With Human Touch’ ผสาน กับบริการอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต โดยใช้ยุทธวิธี ‘AI-First Bank’ ที่มี AI ขับเคลื่อนองค์กร โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง การเน้นนวัตกรรมที่ยั่งยืนช่วยให้ธนาคารขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ก้าวหน้าและมุ่งสู่การเป็นธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด

Read More

LINE BK ผู้นำด้าน Social Banking ของไทย ประกาศความสำเร็จในปี 2567 ด้วยยอดผู้ใช้งานกว่า 7.4 ล้านรายทั่วประเทศ และยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 22,000 ล้านบาท สะท้อนความไว้วางใจจากลูกค้า ในปี 2568 LINE BK มุ่งพัฒนาบริการด้วยเทคโนโลยี AI และเตรียมพร้อมสู่ยุค Virtual Bank เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในโลกการเงินดิจิทัล ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 LINE BK สร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนลูกค้าใช้บริการสินเชื่อกว่า 700,000 บัญชี และยอดสินเชื่อที่ปล่อยรวมตั้งแต่เปิดให้บริการสูงกว่า 98,000 ล้านบาท พร้อมยังคงบริหารจัดการพอร์ทสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาอัตราหนี้เสีย (NPL) ที่ 3% ในส่วนของบริการด้านประกัน โดยบริษัท กสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ประกันชีวิต มีหนี้ไม่มีห่วง” และ “ประกันออมทรัพย์ ออมใจ 11/5” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้เปิดตัว “ประกันชีวิตเบาใจ 10/10” เมื่อต้นเดือนมกราคม เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงความคุ้มครองที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับความต้องการมากยิ่งขึ้น สำหรับปี 2568 ทิศทางการดำเนินงานของ LINE BK จะมุ่งเน้น 3 แนวทางหลักดังนี้ 1. พัฒนาบริการการเงินที่ครบวงจร LINE BK มุ่งยกระดับแพลตฟอร์มให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยี AI ที่คาดการณ์ความต้องการทางการเงินได้อย่างแม่นยำและตอบสนองได้ทันที เตรียมพร้อมสู่ยุค Virtual Bank และโลกแห่ง AI เพื่อรองรับทุกความต้องการอย่างครบถ้วน 2. ขยายฐานลูกค้า LINE BK จะมุ่งเน้นการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ โดยใช้ข้อได้เปรียบของฐานผู้ใช้งาน LINE ที่มีจำนวนถึง 56 ล้านคน…

Read More

บลจ.ทิสโก้สุดปลื้ม บริหารกองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล ทริกเกอร์ 5M#1 (TUSFINT5M1) ถึงเป้าหมายใน 1 เดือน 9 วัน ชี้เร็วๆ นี้เตรียมอออกกองทริกเกอร์ใหม่เพิ่มโอกาสสร้างกำไรให้กับลูกค้า นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า จากที่ บลจ.ทิสโก้มองเห็นโอกาสลงทุนในหุ้นการเงินสหรัฐฯ โดยประเมินว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงกำไรมีโอกาสปรับขึ้นนั้น ล่าสุด หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ออกมาดีกว่าคาด ทำให้บลจ.ทิสโก้ สามารถบริหารกองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล ทริกเกอร์ 5M#1 (TUSFINT5M1) ระดับความเสี่ยง 7 (ความเสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector ถึงเป้าหมาย 5% มีมูลค่า NAV เท่ากับ 10.5798 บาท ต่อหน่วยในวันที่ 27 มกราคม 2568 ทั้งนี้ การบริหารกองทุน TUSFINT5M1 ให้ถึงเป้าหมายในครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาบริหาร 1 เดือน 9 วัน นับจากวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นวันจัดตั้งกองทุน นับเป็นกองทุนแรกที่ถึงเป้าหมายในปีนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นมืออาชีพและเป็นตัวจริงในการบริหารกองทุนทริกเกอร์ของ บลจ.ทิสโก้ได้เป็นอย่างดี และในเร็วๆ นี้ บลจ.ทิสโก้เตรียมนำเสนอกองทริกเกอร์อีกครั้ง เพราะมองเห็นโอกาสการลงทุนในช่วงที่หุ้นบางกลุ่มปรับลดลง โดย ณ วันที่ 27 มกราคม 2568 บลจ.ทิสโก้ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มาแล้วทั้งหมด…

Read More

Orbix Technology และ D3 Labs ผู้ให้บริการโซลูชันในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนำ ประกาศความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนและเทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับบริการทางการเงินในไทย อินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือครั้งนี้จะนำเอาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน Quarix ของ Orbix Technology ร่วมกับระบบนิเวศ SeaSeed Network ของ D3 Labs มาพัฒนานวัตกรรมทางการเงินให้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสามารถเติบโตได้ พร้อมทั้งสอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานการกำกับดูแลของทั้งสองประเทศ นายญาณวิทย์ รักษ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด (Orbix Technology) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่รองรับทั้งภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะการยกระดับการชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างไทยและอินโดนีเซียด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่จะช่วยให้การทำธุรกรรมมีความรวดเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่า ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าอัตราการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราจึงมุ่งมั่นในการช่วยผลักดันให้ประสบการณ์การเดินทางราบรื่นยิ่งขึ้นผ่านโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชน Orbix Technology จึงร่วมมือกับ D3 Labs ในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อมูลที่สำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายของความร่วมมือทางธุรกิจ พร้อมทั้งรับรองว่าโซลูชันทั้งหมดจะสอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแล ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและผลักดันการนำไปใช้จริง ภายใต้ “โครงการบล็อกเชนเพื่อนวัตกรรมทางการเงิน” โดยมุ่งหวังสร้างระบบนิเวศการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีต้นทุนต่ำและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาในด้านต่างๆ ดังนี้: ระบบ Smart Contracts: การพัฒนา smart contract ให้มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ เพื่อรองรับการชำระเงินแบบอัตโนมัติและไร้รอยต่อ ความรวดเร็วและประสิทธิภาพของธุรกรรม: การพัฒนาบล็อกเชนเพื่อลดระยะเวลาในการชำระบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และยกระดับประสบการณ์การใช้งานข้ามพรมแดน ความปลอดภัยและการกำกับดูแล: การพัฒนาระบบที่รองรับความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใส และสอดคล้องกับกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการธุรกรรมทั้งหมด   ด้านนาย Lai Chung Ying ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ D3 Labs กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับ Orbix Technology ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติการบริการทางการเงิน โดยการผสมผสานความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีบล็อกเชนของทั้งสององค์กร เรามุ่งมั่นที่จะสร้างโซลูชันเพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพ พัฒนานวัตกรรม และรักษามาตรฐานการกำกับดูแลในระบบนิเวศการเงินดิจิทัลให้มีความยั่งยืนในอนาคต โดยเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้คือ การยกระดับศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการเป็นผู้นำการพัฒนานวัตกรรมที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกรรมทางการเงินทั่วโลก โดยวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่าง D3…

Read More

นายกรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นางธีระดา กำเนิดเหมาะ ผู้บริหารสายงานตัวแทน และ นายธัญญะ ซื่อวาจา ผู้บริหารสายงานบริหารและสนับสนุนองค์กร จัดงานสุดยิ่งใหญ่รับต้นปี 2568 Agency Kick Off Year Plan 2025 เพื่อยกระดับศักยภาพตัวแทนประกันชีวิต พร้อมวางเป้าเดินหน้าขยายเครือข่ายสาขาตัวแทนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ภายในงานยังได้มอบรางวัลคุณวุฒิ ให้แก่ตัวแทนที่มีผลงานยอดเยี่ยมกว่า 49 รางวัล เพื่อตอกย้ำความสำเร็จ และเป็นแรงบัลดาลใจแก่เหล่าตัวแทนที่กำลังพัฒนาตนเองเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตต่อไป ณ โรงแรม เดอะ ซายน์ พัทยา เมื่อเร็วๆนี้

Read More

พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล “เหรียญเทพเจ้ากวนอู” ภายใต้ “โครงการตรุษจีนเมาไม่ขับ” ของมูลนิธิเมาไม่ขับ ซึ่ง บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุน โดยมี นางสาวกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้าร่วมพิธี ทั้งนี้ เหรียญดังกล่าว ได้รับการปลุกเสก โดย พระคณาจารย์จีนธรรมวชิรานุวัตร (เย็นอี่) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน โดยมุ่งหวังให้เป็นเครื่องเตือนสติสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ และเสริมสิริมงคล ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 ณ วัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ สำหรับ “โครงการตรุษจีนเมาไม่ขับ” มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมกับ วิริยะประกันภัย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เนื่องด้วยเทศกาลตรุษจีน เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่มักมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในหลายพื้นที่ และเป็นช่วงเวลาเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มสูงขึ้น จากพฤติกรรมการดื่มสุราขณะขับรถ บริษัทฯ จึงได้ให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกให้กับประชาชน เกี่ยวกับพฤติกรรมการเมาไม่ขับ เพื่อลดความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองให้เป็นไปอย่างปลอดภัยและไร้อุบัติเหตุ

Read More

ทิพยตะกาฟุล ได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย โดยท่านจุฬาราชมนตรี (นายอรุณ บุญชม) ให้ทิพยตะกาฟุลรับประกัน “ตราสัญลักษณ์ฮาลาล (Halal Logo)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาลสำหรับการส่งออกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย (SASO CoC) โดยมี ดร.อาลี คาน รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รับมอบสัญญาตะกาฟุลจากนายกฤษฎา กิตติพรไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์ขยายงานการรับประกันภัยตะกาฟุล ณ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ทิพยตะกาฟุลถือเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่สามารถให้บริการรับประกันภัยตามหลักศาสนาอิสลามได้อย่างถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากบริษัทรับประกันภัยต่อ (Re Takaful) อย่างครบถ้วน

Read More

 เคทีซี ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ SMEs ตอกย้ำจุดยืนในการทำธุรกิจสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” สร้างโอกาสสนับสนุนคนไทยที่มีความฝันและสนใจจะเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ยังขาดแหล่งเงินทุน สามารถสมัครสินเชื่อรถแลกเงิน เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่เชื่อถือได้ วงเงินใหญ่อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที ด้วยวงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน นางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรามองเห็นศักยภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ในฐานะโมเดลที่ช่วยสร้างโอกาสให้กับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจ แต่ยังขาดเงินทุนก้อนใหญ่ สินเชื่อรถแลกเงิน “เคทีซี พี่เบิ้ม” ยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ผู้กำลังมองหาอาชีพเสริม หรืออยากมีธุรกิจเป็นของตนเองได้สานฝันตนเองให้เป็นจริง โดยผู้ที่ขอสินเชื่อยังสามารถนำรถยนต์ที่เป็นหลักประกันไปใช้ขับได้ตามปกติ ล่าสุดเราได้ร่วมกับ 2 แฟรนไชส์แบรนด์คนไทยที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจอย่าง “ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิด” และธุรกิจรับ-ส่งไปรษณีย์ “แตงไทย โพสต์” สนับสนุนให้ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจ สามารถติดต่อขอสินเชื่อผ่านช่องทางของทั้งสองธุรกิจแฟรนไชส์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เราเชื่อว่าการร่วมมือครั้งนี้จะมีส่วนช่วยสานโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับคนไทย และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งและเติบโตไปด้วยกัน”             นายสารัช วัฒนกูล ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อร่อยระเบิด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิด กล่าวว่า “ธุรกิจแฟรนไชส์ของเราเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจง่ายๆ ลงทุนน้อยและคืนทุนไว โดยมุ่งเน้นสร้างอาชีพให้คนมีรายได้หลักและรายได้เสริม การที่ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เข้ามาสนับสนุนในเรื่องเงินทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับคนที่มีรถยนต์และปลอดภาระ แต่มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ เรามั่นใจว่าการร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มให้คนไทยประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้เร็วขึ้น มีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนกับแฟรนไชส์ไจแอ้นฯ มีให้เลือกกว่า 14 แบบ เริ่มต้นตั้งแต่ชุดทดลองขายที่มีราคาหลักพัน  จนถึงร้านขนาดใหญ่ที่จัดเต็มในทุกฟังก์ชั่นในการช่วยซัพพอร์ตการขาย ซึ่งมีราคาหลักแสนด้วยกัน” นายอัฒพล รอดขำ กรรมการผู้จัดการ แบรนด์แฟรนไชส์ไปรษณีย์ชุมชน แตงไทยโพสต์ กล่าวว่า “เราเลือกจับมือกับ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพราะเล็งเห็นว่าสินเชื่อรถแลกเงินของเคทีซี มีความสะดวกและเหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์ โดยเฉพาะในช่วงที่หลายคนมองหาโอกาสสร้างรายได้เสริมหรือรายได้หลัก แฟรนไชส์ไปรษณีย์ชุมชน แตงไทยโพสต์พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ด้วยระบบที่แข็งแกร่งและอบรมเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ แฟรนไชส์ไปรษณีย์ชุมชน แตงไทยโพสต์ เป็นไปรษณีย์ชุมชนที่ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ร้านบริการรับ-ส่งพัสดุให้กับหลายธุรกิจขนส่งในร้านเดียว ทั้งพัสดุที่จัดส่งภายในประเทศ 6 รายหลัก อาทิ ไปรษณีย์ไทย , FLASH Express , KEX…

Read More

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยการทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม โลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่มีภูมิทัศน์เปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องมาจากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด การเกิดภัยธรรมชาติที่บ่อยขึ้นและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความท้าท้ายกับธุรกิจประกันภัยทั่วโลกรวมถึงธุรกิจประกันวินาศภัยไทย ในการกำหนดกลยุทธ์และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยการดำเนินธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยความรู้รอบ ความรอบรู้ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกให้สามารถบริหารความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสจากภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยากต่อการคาดการณ์และบริหารจัดการ ด้วยเหตุนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจและวิชาการประกันภัย จึงได้จัดสัมมนาการประกันภัย ครั้งที่ 29 ขึ้น ภายใต้หัวข้อ “การบริหารจัดการความเสี่ยงอุบัติใหม่: ความท้าทายของธุรกิจประกันภัยในทศวรรษหน้า” นำเสนอความรู้ มุมมอง และแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงอุบัติใหม่ เพื่อให้ธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการความคุ้มครองด้านประกันภัยของทุกภาคส่วนได้อย่างเหมาะสม โดยเน้นแนวคิดเรื่องของความเสี่ยงด้านความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศซึ่งในรายงานความเสี่ยงระดับโลก The Global Risk Report 2025 ที่ World Economic Forum ได้จัดทำและเผยแพร่ล่าสุดระบุว่า เป็นความเสี่ยงที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมถึงความเสี่ยงเรื่องเทคโนโลยี AI ซึ่งถูกจัดอยู่ใน Top 5 ด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือเรื่องของการเตรียมความพร้อมด้านทุนมนุษย์ของธุรกิจประกันภัยให้เท่าทันต่อความเสี่ยงอุบัติใหม่ดังกล่าวด้วย สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การจัดการและการสื่อสารในภาวะวิกฤต เทคโนโลยี AI และทุนมนุษย์ มานำเสนอความรู้ ข้อมูลเชิงลึก และแนวคิด ที่ธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ประกอบด้วย รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ให้เกียรติมาบรรยายในหัวข้อ “2573 น้ำจะท่วมกรุงเทพจริงหรือ” คุณกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ให้เกียรติมาบรรยายในหัวข้อ “การจัดการและการสื่อสารในภาวะวิกฤต” คุณกฤติยาณี บูรณตรีเวทย์ ทนายความหุ้นส่วน (Partner) บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ที่ให้เกียรติมาบรรยายในหัวข้อ “โลก AI วันนี้และความท้าทายในวันหน้า” คุณชุติมา สีบำรุงสาสน์…

Read More

ทีเอ็มบีธนชาต ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 21,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยกำหนดซื้อหุ้นคืนรอบแรกด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นไปตามแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสม ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570 โดยธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนในครั้งแรกด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่อยู่ในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการก็จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งสูงอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารคู่เทียบ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น จึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) จะยังคงสูงกว่า 19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ สำหรับวงเงินส่วนที่เหลืออีก 14,000 ล้านบาท ธนาคารจะกำหนดกรอบการซื้อคืนและระยะเวลาอีกครั้ง โดยจะพิจารณาให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและมูลค่าหุ้น เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการซื้อหุ้นคืนในอีก 2 รอบที่เหลือจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นเช่นกัน นายปิติ กล่าวสรุปว่า “นอกเหนือจากโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสมผ่านการไถ่ถอนตราสารหนี้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier1) และการลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปี 2567 การเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาอยู่ที่ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตและบริษัท ที ลิสซิ่ง การดำเนินการอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเราในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทีทีบีเติบโตได้อย่างมั่นคงและส่งมอบประโยชน์กลับคืนสู่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”

Read More