กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ผนึกพลังพันธมิตรครั้งยิ่งใหญ่กับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจชั้นนำ อาทิ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (The Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) ประเทศญี่ปุ่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) Techo Startup Center หน่วยงานภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของประเทศกัมพูชา และศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (NIC) จัดงาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair 2024สร้างโอกาสจับคู่ธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 60 ราย จาก 6 ประเทศกับภาคธุรกิจชั้นนำระดับนานาชาติกว่า 180 บริษัท มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อต่อยอดการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนและญี่ปุ่น ร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในภูมิภาค ในโอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีและกล่าวเปิดงานในครั้งนี้ว่า การส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของรัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระยะ 5 ปี ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของญี่ปุ่น และร่วมผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (BCG Model) รัฐบาลญี่ปุ่นมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการจัดงานใหญ่ระดับภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานส่งเสริมดิจิทัล หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศทั้งญี่ปุ่น ไทย และอาเซียน โดยมีความมุ่งหวังที่จะเห็นการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในภูมิภาค ด้าน นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี มุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมเสริมสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพให้แข็งแกร่ง ผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุน ความรู้ด้านเทคโนโลยี และข้อมูลธุรกิจต่างๆ ทั้งยังช่วยเปิดเวทีสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับสตาร์ทอัพเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในภูมิภาค ซึ่งการจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจสตาร์ทอัพในวันนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และมีสตาร์ทอัพดาวรุ่งจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจกว่า 60 ราย จาก 6 ประเทศเข้าร่วมงาน โดยเฉพาะสตาร์ทอัพสาย ESG ที่มีเทคโนโลยีช่วยลดลดคาร์บอน หรือแม้แต่โซลูชันในการทำโรงงานอัตโนมัติ ซึ่งจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการตามแนวทางความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น และด้วยความร่วมมือของพันธมิตรอาเซียน ญี่ปุ่น และเครือข่าย MUFG นำมาสู่ความสำเร็จอย่างล้นหลามในการจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจกว่า…
Author: staff
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต นำโดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO) และคุณสมชัย อาภรณ์ศิริพงษ์ Deputy Chief Executive Officer นำทีมที่ปรึกษาประกันชีวิต OCEAN LIFE ไทยสมุทร เข้าร่วมพิธีมอบรางวัล “ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 41” (41th THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS: TNQA) โดยได้รับเกียรติจาก ท่านปลัดกระทรวงการคลัง คุณลวรณ แสงสนิท และคุณชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมแสดงความยินดี โดยในปีนี้มีที่ปรึกษาประกันชีวิตรับรางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 20 ปี พร้อมเกียรติบัตร คือ คุณอุบล นนทามิตร และผู้รับรางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 15 ปี พร้อมเกียรติบัตร คือ คุณโสภา ไชยสมุทร นอกจากนั้นยังมีที่ปรึกษาประกันชีวิต รับรางวัลโล่เกียรติคุณ พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 5 รางวัล และรับเกียรติบัตรอีกทั้งสิ้น 29 รางวัล รวมจำนวนผู้ได้รับรางวัล TNQA ในปีนี้ รวมทั้งสิ้น 36 ราย ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี รางวัล “ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ” หรือ TNQA นับเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศในธุรกิจประกันชีวิต ที่มอบโดยสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ที่ปรึกษาประกันชีวิตที่สร้างทั้งผลงานคุณภาพ ช่วยยกระดับความเป็นมืออาชีพให้ลูกค้ามีความมั่นใจ เชื่อถือได้ ซึ่งความสำเร็จของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่ได้รับในวาระครบรอบ 75 ปีครั้งนี้ ถือเป็นผลของความมุ่งมั่นให้ที่ปรึกษาประกันชีวิตทุกคนได้ใช้พลังความรัก สร้างผลงานที่ตอบโจทย์บนความต้องการของลูกค้าในทุกมิติอย่างต่อเนื่องและจับต้องได้ ด้วยความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ การวางแผนคุ้มครองชีวิต การเงิน สุขภาพ และอุบัติเหตุ รวมทั้งการนำดิจิทัลเทคโนโลยี เข้ามาช่วยให้การดูแลแนะนำให้คำปรึกษาลูกค้า ได้เข้าใจ เข้าถึงประโยชน์ของประกันชีวิตให้มากที่สุด ร่วมติดตามข่าวสาร และกิจกรรมดีๆ…
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) และ เจเนเรชั่น ประเทศไทย (Generation Thailand) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมกันพัฒนากำลังคนสายดิจิทัลในโครงการ 1 ล้านการเรียนรู้ 1 ล้านโอกาส เปิดประตูสู่อนาคตที่ยั่งยืน เน้นการฝึกอบรม พัฒนาทักษะและเตรียมบุคลากรด้านดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธนาคารและภาคธุรกิจ สร้างโอกาสการจ้างงานให้กับบุคลากรในสายดิจิทัลช่วยยกระดับให้เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานปัจจุบัน นายวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนในการพัฒนากำลังคน นำองค์ความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนเปลงต่างๆที่เกิดขึ้น โดยปัจจุบันจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จาก Digital Disruption เป็นเหตุให้ธนาคารไทยพาณิชย์จำเป็นต้องเร่งปรับตัวลงทุนด้านการพัฒนาเรื่องดิจิทัลเทคโนโลยี ทั้งนี้ ยังมีอีกเรื่องที่ธนาคารให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การพัฒนาคนให้อยู่ได้ในโลกดิจิทัล ดังจะเห็นจากความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันที่มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถด้านดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนธนาคารได้มีการวางรากฐานการพัฒนากำลังคนให้มีทักษะ ดังนี้ 1) Future Essential Skills เช่น ทักษะการคิด Critical Thinking, Creative Thinking, Collaboration และ 2) Digital Skills เช่น ทักษะด้าน Data Science, Data Analytics, AI & Automation Technology, Digital Process & Service Design, รวมไปถึง Digital Communication และ Digital Security เพื่อ upskills พนักงานให้สอดรับกับการดำเนินกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคาร โดยมีเป้าหมายการเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทางโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยพลังของดิจิทัลสร้างสรรค์ธุรกิจและบริการที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ธนาคารมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจับมือกับสำนักเคเอกซ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ เจเนเรชั่น ประเทศไทย ผ่านโครงการ 1ล้านการเรียนรู้…
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดตัวแผนประกันสุขภาพ “PRUBetter Care” (พรูเบทเทอร์ แคร์) สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกแผนประกันสุขภาพที่หลากหลายตอบโจทย์กับความต้องการ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุม และ สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เหมาะกับตัวเอง มีตัวเลือกที่ช่วยให้จ่ายเบี้ยประกันภัยถูกลง เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล หรือสวัสดิการเดิมที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยมีให้เลือกทั้งแบบ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) และสามารถซื้อความคุ้มครองผู้ป่วยนอกเพิ่มเติมได้ (OPD) รวมถึงแผนประกันสุขภาพคุ้มครองโรคมะเร็ง สำหรับแผนประกันสุขภาพนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ขอแนะนำ “PRUBetter Care IPD Protect” (พรูเบทเทอร์ แคร์- ไอพีดี โพรเทกต์) ซึ่งเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ที่เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในตามจริง (แต่ไม่เกินผลประโยชน์สูงสุดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ตามแผนความคุ้มครองที่เลือก) และเมื่อตรวจพบและเข้ารับการรักษาด้วย 7 โรคร้ายแรง* (เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์) ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในจะเพิ่มเป็น 2 เท่า นอกจากนี้ ยังมีความคุ้มครองการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยจิตแพทย์สำหรับผู้เอาประกันภัย และบุคคลในครอบครัวของผู้เอาประกันภัย (สูงสุด 5 ท่าน รวมผู้เอาประกันภัย) และหากผู้เอาประกันภัยสุขภาพดี ไม่มีการเคลม 2 ปีกรมธรรม์ต่อเนื่อง จะได้รับส่วนลด 10% ของค่าเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ในปีกรมธรรม์ถัดไป และสามารถเลือกจ่ายเบี้ยประกันภัยถูกลงได้โดยการเลือกรับความคุ้มครองแบบความรับผิดส่วนแรก (Deductible) ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกรับความคุ้มครองให้ตรงกับความต้องการได้เพิ่มเติม ได้แก่ ความคุ้มครองผู้ป่วยนอก ความคุ้มครองโรคมะเร็งแบบเจอ จ่าย จบ หรือความคุ้มครองผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวัน อีกด้วย โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ตัวแทนของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ทั่วประเทศ หรือ https://www.prudential.co.th/corp/prudential-th/th/health/ —————————————————————————————- *ได้แก่ โรคมะเร็งระยะลุกลาม การผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด โรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน โรคพาร์กินสัน ไตวายเรื้อรัง
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR นำโดย นายกาญจน์ณัฐ เฉลิมจุฬามณี ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์การเรียนรู้เงินติดล้อ เป็นตัวแทนชาวเงินติดล้อต้อนรับคณะผู้บริหารจาก การไฟฟ้านครหลวง ที่เข้าร่วมหลักสูตร Executive Development Program กับสถาบัน Beyond Training จำนวน 16ท่าน ร่วมกิจกรรม TIDLOR Culture Wow เพื่อบอกเล่า แนะนำ และแลกเปลี่ยนแนวทางการสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร นอกจากนี้ยังได้มีการเยี่ยมชมกระบวนการทำงานของฝ่ายต่างๆ เพื่อสัมผัสบรรยากาศการทำงานแบบ Work Smart พร้อมร่วมถาม-ตอบ (Q&A) อย่างใกล้ชิดกับผู้บริหารและทีม Culture Gangster เกี่ยวกับแนวทางและวิธีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การสร้างวัฒนธรรมองค์กรไปยังองค์กรต่างๆ ให้สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ อาคารอารีย์ ฮิลล์ เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้หลักสูตร TIDLOR Culture Wow และ TIDLOR Culture Campภายใต้โครงการ TIDLOR Academy จัดขึ้นสำหรับบุคคลและบริษัทภายนอกที่สนใจการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ผ่านแนวคิดและประสบการณ์จริงในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยวัฒนธรรมองค์กรในแบบฉบับเงินติดล้อ เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป สำหรับผู้สนใจออกแบบค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรผ่านเวิร์กชอปที่สามารถนำไปใช้ได้จริง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ www.tidlor.com/academy หรือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-792-1990
สมาคมประกันชีวิตไทย จัดงานมอบรางวัล“ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 41 ประจำปี 2567” หรือ 41st THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS (41st TNQA) เพื่อเชิดชูเกียรติตัวแทนประกันชีวิตที่มีคุณภาพดีเด่น สามารถผลิตผลงานได้ตามเกณฑ์ และมีความภักดีต่อองค์กรต้นสังกัด จำนวน 2,328 ราย ในวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ อุปนายกฝ่ายบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย ในฐานะประธานจัดงาน มอบรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 41 ประจำปี 2567(THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS (41st TNQA) เปิดเผยว่า สมาคมประกันชีวิตไทยได้รับเกียรติจากนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มาเป็นประธานในการมอบรางวัล โดยมีผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. ร่วมเป็นเกียรติ และ นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวมีมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 41 โดยรางวัล“ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ” เป็นการเชิดชูเกียรติให้กับตัวแทนประกันชีวิตที่มีการยกระดับคุณภาพและพัฒนาความรู้และทักษะที่สำคัญในการทำงานเพื่อให้ผู้เอาประกันชีวิตได้รับการบริการที่ดี จนผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสมาคมประกันชีวิตไทย ซึ่งประกอบด้วย ผลงานขายประกันชีวิตแบบรายบุคคลรายใหม่ ประเภทสามัญหรือประเภทอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่าปีละ 30 กรมธรรม์ จำนวนเงินเอาประกันภัยไม่ต่ำกว่าปีละสี่ล้านห้าแสนบาท 2 ปีต่อเนื่อง และกรมธรรม์ประกันชีวิตมี ผลบังคับ 14 เดือนหรือเกินกว่า โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขายได้ในปีที่ 1 นั้น จะต้องมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ทั้งจำนวนรายและจำนวนเงินเอาประกันภัย และสำคัญที่สุดคือต้องมีความภักดีเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่อยู่ในสังกัดของบริษัทเดียวกันตลอดเวลาของการคำนวณผลงาน ซึ่งในปีนี้มีผู้ที่สามารถพิชิตรางวัลทั้งสิ้น 2,328 ราย จาก 15 บริษัทสมาชิก โดยรางวัลเกียรติยศสูงสุดคือ รางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 30 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน…
นับถอยหลังสู่มหกรรมกีฬาระดับโลก “โอลิมปิก ปารีส 2024” ที่จะเปิดฉากในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 นี้ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเทศกาลโอลิมปิกคว้าโอกาสสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกผ่าน บัตรเดบิตวีซ่าttb all free Olympic Games Paris 2024 ลายหน้าบัตรสุดพิเศษ ต้อนรับโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่มีให้เลือก 2 ลาย โดยเป็นบัตรเดบิตใบแรกและใบเดียวที่ไม่มีค่าธรรมเนียมบัตรแรกเข้าและรายปี พร้อมมอบสิทธิประโยชน์เทียบเท่าบัตรเครดิต ให้ใช้จ่ายได้คุ้มค่าทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์กิน ช้อป เที่ยว พิเศษเมื่อสมัครบัตรเดบิตและมียอดใช้จ่ายครบตามกำหนดภายใน 30 วัน รับฟรีของที่ระลึก VISA Premium Olympic Games Paris 2024 ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2567 – 15 สิงหาคม 2567 รายละเอียดดังนี้ ยอดใช้จ่ายสะสม 3,000 บาทขึ้นไป เลือกรับฟรี กระเป๋าสะพายหลัง หรือ Reusable Bag มูลค่า 800 บาท ยอดใช้จ่ายสะสม 5,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่ม แก้วเก็บความเย็น มูลค่า 1,000 บาท ยอดใช้จ่ายสะสม 10,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่ม เก้าอี้แคมปิ้ง มูลค่า 2,000 บาท พร้อมรับสิทธิประโยชน์ที่มอบให้เฉพาะผู้ถือบัตรเดบิต ttb all free เท่านั้น รับเงินคืน 1% เมื่อมียอดใช้จ่ายที่ประเทศฝรั่งเศส (1 พฤษภาคม2567 – 31 กรกฎาคม 2567 ) ใช้จ่ายเที่ยวต่างประเทศเรทถูก ไม่ต้องแลกเงิน เพราะ ฟรี FX…
นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า คนไทยมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดจาก 6 โรคร้าย อาทิ โรคมะเร็งและเนื้องอก โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคไต ซึ่งส่วนใหญ่มีผลมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ธนาคารจึงออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่ให้มากกว่าดอกเบี้ย ที่คุ้มครองโรคร้ายสูงสุดมากถึง 30 โรคร้าย ที่ตอบโจทย์การออมเงินและการดูแลสุขภาพ เพิ่มความอุ่นใจ หมดความกังวลหากตรวจพบโรคร้าย ซึ่งความโดดเด่นของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย“LHB Health Care Savings” คือ เจอ จ่าย จริง โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 30 โรคร้าย โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย และยังได้รับดอกเบี้ยทุกเดือน อัตราดอกเบี้ย 0.75% ต่อปี ฝาก ถอน โอน จ่าย สะดวก ยิ่งฝากมากยิ่งรับความคุ้มครองมาก บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings”สำหรับบุคคลธรรมดา ที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 65 ปี สามารถเปิดบัญชีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ฝากขั้นต่ำเพียง 100,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนเงินฝากสูงสุด แต่วงเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท รับประกันภัยโดยบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเชื่อว่า “บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย (LHB Health Care Savings)” ที่ธนาคารได้คัดสรรมาเป็นพิเศษนี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ให้สามารถวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพได้ในอนาคต นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิต รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยกระดับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คุ้มครองโรคร้าย “LHB Health Care Savings” ซึ่งสามารถ ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างความมั่งคั่งจากการออมเงิน…
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)(SIRI) ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า แสนสิริและไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความเชื่อมั่นและพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของไทย ได้ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ด้วยการสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการกรุงเทพกรีฑา โครงการบางนา กม.10 และ โครงการชิดลม มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการมีความโดดเด่น ทั้งในด้าน Design, Service, Quality และ Sustainability เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แสนสิริยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ในปีแห่งการเติบโตที่สำคัญของแสนสิริ ก้าวต่ออย่างมั่นคงสู่ปีที่ 40 ด้วยแนวทาง “RESILIENT GROWTH” โดยนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจและขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงใจและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสนสิริเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในอนาคต สำหรับปีนี้ แสนสิริวางแผนธุรกิจเปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท (สูงสุดในอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย) พร้อมตั้งเป้ายอดขาย52,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กรควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ประกอบด้วย การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงิน ตลอดจนรักษาสภาพคล่องที่เหมาะสมรองรับได้กับทุกสถานการณ์ นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่แสนสิริจำนวน 15,200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใน 3 พื้นที่ศักยภาพ ได้แก่ โครงการกรุงเทพกรีฑา โครงการบางนา กม.10 และ โครงการชิดลม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่แสนสิริสร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยของประเทศไทย ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงที่มุ่งเน้นการมอบนวัตกรรมและความยั่งยืน ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งนี้จะนำมาซึ่งสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีบทบาทอย่างสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์สนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ทั้งสินเชื่อเพื่อผู้พัฒนาโครงการ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ การสนับสนุนในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคารไทยพาณิชย์ในการส่งเสริมการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมเข้ามาส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะให้ภาพแรงส่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าคาด จนตลาดปรับการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ หรือ Higher for Longer นั้น แต่ก็มีประเด็นที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในระยะหลัง ได้แก่ นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และยุโรปที่กีดกันอุตสาหกรรม Cleantech ของจีน ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์ ซึ่งมองว่าจะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตในภูมิภาคยุโรป อาเซียน และอเมริกาใต้ ขณะที่ หากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง กลยุทธ์ของจีนในการกระจายความเสี่ยงทางการค้า อย่างเช่น China+1 ที่ขยายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีทางการค้า ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ ดังนั้น ไทยต้องจับกระแสประเด็นการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อภาคอุตสาหกรรมไทยปรับทิศทางได้ทัน นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองเพิ่มเติมถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ว่า มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการส่งออกที่ขยายตัวเป็นบวกมากขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นข้างต้น การระบายสินค้าจากกำลังการผลิตส่วนเกินจากจีนมายังตลาดโลกรวมถึงไทย ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมีผลให้ส่งออกไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ โดยสรุปภาพรวมทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 2.6% ด้านแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยนั้น นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้น้ำหนักกับ 3 ปัจจัยที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมในช่วงข้างหน้า ได้แก่ 1. ความไม่แน่นอนของการเบิกจ่ายภาครัฐ ที่จะกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2. สินค้านำเข้าที่ไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้น จากผลของสงครามการค้า ซึ่งจะกระทบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเหล็ก 3. ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำมันดีเซลที่ภาครัฐทยอยลดการอุดหนุน และค่าแรงที่มีทิศทางสูงขึ้น จะกระทบต่อเอสเอ็มอีโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ กวดขันสินค้านำเข้าและสนับสนุนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) รวมถึงเติมสภาพคล่องให้กับ…