นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่าบลจ.กสิกรไทย พร้อมให้ลูกค้าดาวน์โหลด หนังสือรับรองการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุน SSF SSFX และ RMF ประจำปี 2563 ผ่านทางเว็บไซต์ www.kasikornasset.com เพียงกรอกข้อมูลส่วนตัวและเลขที่บัญชีกองทุนกสิกรไทยก็สามารถดาวน์โหลดได้ทันที นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่มีแอปพลิเคชัน K-My Funds สามารถขอหนังสือรับรองผ่านแอปได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน โดยระบบจะดำเนินการส่งหนังสือรับรองไปยังอีเมลที่ผูกไว้กับระบบภายใน 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดหรือขอหนังสือรับรองผ่านช่องทางดิจิตอลได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 เป็นต้นไป “การดาวน์โหลดหรือขอหนังสือรับรองผ่านช่องทางดิจิทัล จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการยื่นเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีประจำปี 2563 ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการ K-Mutual Fund Reports บริษัทจะดำเนินการส่งหนังสือรับรองให้ทางอีเมล ส่วนลูกค้าที่ยังไม่ได้สมัครใช้บริการดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการจัดส่งหนังสือรับรองให้ทางไปรษณีย์ โดยจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 เป็นต้นไปเช่นกัน” นายสุรเดชกล่าว
Author: admin
บลจ.กสิกรไทย โชว์ปันผล SSFX กองแรกในไทยกับกองทุน K-SUPSTAR-SSFX กว่า 39 ล้านบาท เผยมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย เติบโตได้จากปัจจัยภายนอกและในประเทศ รวมถึงแผนเริ่มใช้วัคซีนกลางปี 2564 หนุนภาคการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลิกฟื้น คาดดัชนีหุ้นไทยปลายปีอยู่ที่ 1600 จุด ธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุน SSFX กองแรกในไทย กับกองทุนเปิดเค ซูเปอร์สตาร์ เพื่อการออมพิเศษ (K-SUPSTAR-SSFX) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าทั้งสิ้น 39.55 ล้านบาท ธิดาศิริ กล่าวว่า กองทุน K-SUPSTAR-SSFX มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี มีศักยภาพสูง และมีความมั่นคงของกระแสเงินสด (Defensive) สามารถเติบโตได้แม้ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว (Quality Growth) ผ่านกลยุทธ์การบริหารจัดการแบบ Tactical Trade ที่ผู้จัดการกองทุนจะคอยจับจังหวะซื้อขายหุ้นเพื่อหาโอกาสทำกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยคาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้กองทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอระหว่างการถือครองหน่วยลงทุน “ตลาดหุ้นไทยยังเติบโตได้โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ดังนี้ 1) การไหลเข้าของกระแสเงินลงทุน (Fund Flows) ที่ไหลกลับมาทางกลุ่มตลาดเกิดใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียจากนโยบายต่างประเทศของไบเดนที่เป็นบวกต่อเอเชีย และทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของเฟด รวมถึงผลการเลือกตั้งวุฒิสภาจอร์เจียที่พรรคเดโมแครตได้ครองคะแนนเสียงส่วนมากในสภาสูง (Blue Wave) ซึ่งจะสามารถผลักดันทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่มากขึ้น 2) อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับต่ำจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลก 3) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัว 2.6% จากการใช้จ่ายของภาครัฐ ขณะที่การส่งออกยังเผชิญข้อจำกัดจากทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าและการฟื้นตัวไม่เต็มที่ของเศรษฐกิจโลก และ 4) กำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยที่กลับมาเติบโตขึ้นกว่า 30% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังต้องประเมินสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงและยืดเยื้อแค่ไหน” ธิดาศิริ…
“เคทีซี” แจ้งผลประกอบการปี 2563 ตามมาตรฐาน TFRS9 กำไรสุทธิเท่ากับ 5,332 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี สินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ NPL รวมลดต่ำต่อเนื่องอยู่ที่ 1.8% ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดวิกฤติโควิด-19 (Covid-19) เดินหน้าแผนปี 2564 สร้างความแข็งแกร่งในพอร์ตลูกหนี้คุณภาพทั้ง 3 ธุรกิจหลัก บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อทะเบียนรถ ยึดโยงฐานสมาชิกเดิมผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น รวมทั้งพอร์ตลูกหนี้ของเคทีซีสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้เกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศปรับลดเพดานการคิดอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทเต็มไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ได้ดี รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งปรับกระบวนการทำงานในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบริหารต้นทุนทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงใช้มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของลูกหนี้ให้เหมาะสม และการตัดหนี้สูญเพื่อให้พอร์ตลูกหนี้สะท้อนภาพความเป็นจริง โดยมีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ” “เคทีซียังร่วมสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ทั้งการปรับลดเพดานดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินให้กับลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว เลื่อนการชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีกลุ่มลูกหนี้สมัครเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างกับเคทีซีมียอดหนี้คงเหลือ 813 ล้านบาท (10,812 บัญชี) ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งเคทีซีจะได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป” “สำหรับแผนในปี 2564 ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาด Covid-19 ที่ยังส่งผลต่อเนื่อง และเกิดการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย บริษัทจะปรับแผนธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในพอร์ตลูกหนี้คุณภาพทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยมุ่งรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีและผูกพันกับเคทีซี ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งแบ่งเบาภาระเคียงข้างสมาชิกทุกกลุ่ม โดยธุรกิจบัตรเครดิต…
KTAM ยังคงมั่นใจกองทุนตราสารหนี้ โดยล่าสุดเปิดขายกองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y14 (KTGF1Y14) ได้รับเสียงตอบรับดี มีทั้งการลงทุนที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีลงทุนในกลุ่ม investment grade และ non – investment grade อย่างเหมาะสม และมีมาตรการควบคุมความเสี่ยงไว้รองรับ ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในซีรีส์ของกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก อายุโครงการประมาณ 1 ปี ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีนับตั้งแต่กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถระดมทุนได้แล้วกว่า 33,000 ล้านบาท กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y14 เป็นกองทุนตราสารหนี้ โดยจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้ รวมกันทุกกองไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก และ/หรือตราสารการเงินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) และ/หรือลงทุนในหน่วย CIS ของกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารต่ำกว่า ที่สามารถลงทุนได้ (non – investment grade) และ/หรือตราสารแห่งหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด หรือเห็นชอบให้ลงทุนได้ ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่า ทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายในประเทศ ได้แก่ เงินฝาก ตราสารทางการเงิน ตราสารแห่งหนี้ และ/หรือ ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (Efficient Portfolio Management) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก. ล.ต. และ/หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด และอาจลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) รวมถึงอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน (F X Derivatives) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. และ/หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด โดยขึ้นอยู่กับ ดุ…
KTAM เปิดขาย IPO กองทุนมั่งมีศรีสุข RMF เน้นการลงทุนโดยการจัดสรรเงินลงทุน ในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ผ่าน Fund of Funds ภายใต้บริษัทจัดการกองทุน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และไม่มีเวลาติดตามการลงทุน และอยากได้รับผลตอบแทนสอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้ในระยะยาว ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขาย กองทุน มั่ง มี ศรี สุข เพื่อการเลี้ยงชีพ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 27 ตุลาคม 2563 เน้นการลงทุนโดยการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ผ่าน Fund of Funds ภายใต้บริษัทจัดการกองทุน โดยมีกลยุทธ์การลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ดัชนีชี้วัดของกองทุนมั่ง มี ศรี สุข เพื่อการเลี้ยงชีพ คือ 3% ต่อปี 5% ต่อปี 7% ต่อปี และ9% ต่อปี ตามลำดับ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และไม่มีเวลาติดตามการลงทุน และอยากได้รับผลตอบแทนสอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้ในระยะยาว กองทุนมั่ง มี ศรี สุข เพื่อการเลี้ยงชีพ ประกอบด้วย 4 กองทุน ที่เน้นการกระจายน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสมกับวัฏจักรเศรษฐกิจระยะยาวในแต่ละช่วงเวลาและความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ (Strategic Asset Allocation) ในขณะเดียวกัน ผู้จัดการกองทุนก็สามารถเพิ่มหรือลดน้ำหนักสินทรัพย์ได้ตามความเหมาะสม ให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดที่อาจจะมีความผันผวนสูงได้ในระยะสั้น (Dynamic Tactical Asset Allocation) กองทุนเปิดกรุงไทยมั่งคั่ง เพื่อการเลี้ยงชีพ (KTMUNG-RMF) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ประมาณการสัดส่วนการลงทุนเน้นตราสารทุน 75% ตราสารหนี้สัดส่วน 15% ตราสารทางเลือก 10% กองทุนเปิดกรุงไทยมีทรัพย์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KTMEE-RMF) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ตั้งแต่ปานกลางถึงสูง มีประมาณการสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 50%…
ธนาคารกรุงเทพ ได้รับความเห็นชอบในหลักการจาก OJK ในการดำเนินการรวมสาขาธนาคารกรุงเทพ 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซียเข้ากับธนาคารพีที เพอร์มาตา ทีบีเค (เพอร์มาตา) บริษัทย่อยของธนาคารกรุงเทพ ที่มีสาขาประมาณ 300 แห่ง มีผลให้ธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารไทยที่มีเครือข่ายในต่างประเทศมากที่สุดครอบคลุมเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้รับความเห็นชอบในหลักการจากหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจการเงินของอินโดนีเซีย Otoritas Jasa Keuangan หรือ OJK อนุมัติในการดำเนินการรวมธนาคารกรุงเทพ 3 สาขาในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบด้วย สาขาจาการ์ตา สาขาสุราบายา และสาขาเมดาน เข้ากับธนาคารพีที เพอร์มาตา ทีบีเค (เพอร์มาตา) บริษัทย่อยของธนาคารกรุงเทพ ที่มีสาขาประมาณ 300 แห่ง ใน 62 เมืองทั่วประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้ธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารไทยที่มีเครือข่ายต่างประเทศมากที่สุดครอบคลุมเขตเศรษฐกิจทั่วโลก และสัดส่วนของสินเชื่อจากกิจการธนาคารต่างประเทศต่อสินเชื่อรวมของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 25 ที่เป็นไปตามกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างรากฐานของธนาคารกรุงเทพเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน “ธนาคารกรุงเทพได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 89.12 ในธนาคารเพอร์มาตาเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ภายใต้เงื่อนไขการรวมสาขาของทั้งสองธนาคาร ซึ่งคาดว่าขั้นตอนดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม2563 โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของธนาคารกรุงเทพและการร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตในครั้งนี้ จะส่งผลให้กลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคของธนาคารมีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และเป็นการเสริมสร้างรากฐานของธนาคารให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้ธนาคารสามารถสนับสนุนลูกค้าของธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตาในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงลูกค้าในภูมิภาคให้เข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และข้อเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น” ชาติศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า การรวมสาขาในครั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพประเทศอินโดนีเซียสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครบครันและครอบคลุม ผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารเพอร์มาตาที่มีประมาณ 300 แห่งทั่วประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้บริการสำหรับลูกค้ารายย่อย บริการทางการเงินตามหลักศาสนาอิสลาม หรือ ชะรีอะฮ์ ตลอดจนบริการดิจิทัลแบงก์กิ้งที่เป็นเลิศ และบริการด้านสินเชื่อในสกุลรูเปียห์ ซึ่งเป็นบริการที่ธนาคารกรุงเทพประเทศอินโดนีเซีย ยังไม่เคยให้บริการก่อนหน้านี้ “ธนาคารกรุงเทพดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี ในประเทศอินโดนีเซีย โดยเปิดทำการสาขาจาการ์ตาเป็นแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2511 การเข้าถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพในธนาคารเพอร์มาตา จะทำให้ทั้งสองสามารถนำความเชี่ยวชาญและจุดแข็งของกันและกันมาใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจในตลาดลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกรุงเทพมีเครือข่ายที่เข้มแข็งและครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งความสัมพันธ์กับบริษัทชั้นนำทั่วเอเชีย รวมถึงความเชี่ยวชาญในบริการทางการเงินสำหรับการค้าระหว่างประเทศและประสบการณ์เชิงลึกในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยธนาคารเพอร์มาตาสามารถสนับสนุนลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีคุณภาพสูง และส่งเสริมการเข้าถึงตลาดนอกประเทศอินโดนีเซียผ่านเครือข่ายของธนาคารกรุงเทพทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ธนาคารยังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง…
ทุนธนชาต หรือ TCAP โชว์ความแข็งแกร่งฝ่าวิกฤตโควิด กำไรครึ่งปียังคงเติบโตได้ดี แถมมีจ่ายปันผลระหว่างกาล 1.20 บาท พร้อมยังมีเงินสดคงเหลือ 15,000 ล้านบาทเพื่อสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีชื่อติดดัชนีราคา SET High Dividend 30 Index หรือ SETHD ซึ่งคัดเลือกหุ้นปันผลเด่นจากดัชนี SET100 มา 30 ตัว ที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงและมีสภาพคล่อง พร้อมยังได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี 2563 สมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วโลกและส่งผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจจำนวนมาก TCAP ในฐานะที่เป็นบริษัทประกอบธุรกิจการลงทุนก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยการบริหารงานของทีมบริหารที่เป็นมืออาชีพมากประสบการณ์ผ่านวิกฤตต่างๆ มาแล้วมากมาย ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของ TCAP ยังคงเดินหน้าไปได้ด้วยดี จากการดำเนินงานของบริษัทลูกที่สำคัญของ TCAP ทั้ง บล. ธนชาต ธนชาตประกันภัย และราชธานีลิสซิ่ง รวมถึงกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ทำให้ครึ่งปีแรก TCAP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 5,953 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยกำไรสุทธิของบริษัทย่อยที่สำคัญจำนวน 4,612 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 1,626 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 มีจำนวน 5,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 37% จากงวดเดียวกันปีก่อน ในขณะเดียวกัน TCAP ยังมีเงินสดคงเหลืออีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งยังสามารถสร้างความมั่นคงให้กับ TCAP ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเงินจำนวนดังกล่าว TCAP ยังไม่ได้นำไปลงทุน เนื่องจากยังต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน คณะกรรมการและฝ่ายจัดการจึงมีนโยบายที่จะให้ความสำคัญกับการดูแลบริษัทลูกให้เข้มแข็ง ส่วนการลงทุนอื่น ๆ ต้องรอให้สถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายจึงจะพิจารณาการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป…
บลจ.ไทยพาณิชย์ จัดกันแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ประเคนสารพัดกองทุนให้นักลงทุนที่สนใจ RMF-SSF มากสุดถึง 32 กองทุนครอบคลุมทุกสินทรัพย์ ทั้งกองทุนไทยและต่างประเทศ ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนประเภท Super Savings (ชนิดเพื่อการออม) เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ และเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล บริษัทฯ จึงได้นำเสนอขายกองทุนทั้ง 2 ประเภทรวมกันมากสุดถึง 32 กองทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน ดังนี้ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จำนวน 16 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRM1) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRM2) ลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐและเอกชนในไทย กองทุนรวมผสม จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เฟล็กซิเบิ้ลฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRM3), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลเวลท์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMGW) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลเวลท์ พลัส เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMGWP) ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการลงทุนในหุ้น กองทุนรวมตราสารทุน จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRM4) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 INDEXเพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMS50) ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 กองทุนรวมต่างประเทศ จำนวน 7 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Population Trend เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMPOP) ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรปเพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMEU) เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี STOXX Europe…
นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่าบลจ.กสิกรไทย พร้อมให้ลูกค้าดาวน์โหลด หนังสือรับรองการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุน SSF SSFX และ RMF ประจำปี 2563 ผ่านทางเว็บไซต์ www.kasikornasset.com เพียงกรอกข้อมูลส่วนตัวและเลขที่บัญชีกองทุนกสิกรไทยก็สามารถดาวน์โหลดได้ทันที นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่มีแอปพลิเคชัน K-My Funds สามารถขอหนังสือรับรองผ่านแอปได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน โดยระบบจะดำเนินการส่งหนังสือรับรองไปยังอีเมลที่ผูกไว้กับระบบภายใน 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดหรือขอหนังสือรับรองผ่านช่องทางดิจิตอลได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 เป็นต้นไป “การดาวน์โหลดหรือขอหนังสือรับรองผ่านช่องทางดิจิทัล จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการยื่นเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีประจำปี 2563 ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการ K-Mutual Fund Reports บริษัทจะดำเนินการส่งหนังสือรับรองให้ทางอีเมล ส่วนลูกค้าที่ยังไม่ได้สมัครใช้บริการดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการจัดส่งหนังสือรับรองให้ทางไปรษณีย์ โดยจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 เป็นต้นไปเช่นกัน” นายสุรเดชกล่าว
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายดูแลลูกค้า จัดกิจกรรม AIA Wealth Forum 2020 เสวนาพิเศษในหัวข้อ ‘อีกขั้นของความมั่นใจ สู่เสถียรภาพแห่งการลงทุน’ โดยได้รับเกียรติจาก สุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) รศ.ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา นักลงทุน VI รวมถึง ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ เอไอเอ เพรสทีจ แอมบาสเดอร์ มาร่วมแบ่งปันความรู้