บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) ตอบรับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน นำเสนอกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซัสเทนเนเบิล เครดิต อินคัม ฟันด์ (USI) กองทุนตราสารหนี้โลก ที่คัดสรรตราสารหนี้คุณภาพทุกประเภททั่วโลก โดยพิจารณาผู้ออกตราสารหนี้จากปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลสนับสนุนต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ การลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Investing) เป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เป็นแนวคิดการลงทุน ที่รวมประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) (ESG) เข้ากับกระบวนการลงทุน ซึ่งแนวคิดการลงทุนตามธีม ESG นั้นเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตและเป็นที่นิยมอย่างมากในทศวรรษนี้ โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย รัชดา ตั้งหะรัฐ กล่าวว่า “กลุ่ม บลจ. ยูโอบี ทั่วภูมิภาคให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการมีธรรมาภิบาลมาโดยตลอด ถือเป็นวิสัยทัศน์หลักในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจ UOB โดยได้พัฒนาแนวคิด Sustainability นำมาปรับใช้ในองค์กรในทุกมิติ ทั้งในด้านความยั่งยืนในแง่องค์กรและการลงทุน โดยเป็นการลงทุนที่ประเมินปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือที่เรียกกันว่า ESG โดยการใช้ข้อมูล ESG มาผนวกในการวิเคราะห์ (ESG Integration) เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยเสริมกระบวนการลงทุน ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด” “ล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจ UOB ได้เข้าร่วมลงนามกับ UNPRI (Principles for Responsible Investment) ซึ่งเป็นสถาบันการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบชั้นนำของโลก ดำเนินการเสริม ESG เข้าสู่กระบวนการลงทุนตามแนวทางของ UNPRI และเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับการลงทุนตามหลัก ESG ถือเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของกลุ่ม บลจ. ยูโอบี ที่จะนำเสนอทางเลือกของกลยุทธ์การลงทุน (Investment Solution) ที่มีความรับผิดชอบสำหรับนักลงทุนทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยมั่นใจว่าการนำหลัก ESG มาเสริมนั้น จะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจแก่ผู้ลงทุนได้ในระยะยาว และเราเชื่อว่าการลงทุนที่ยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่โลกกำลังเผชิญอยู่” รัชดา…
Author: admin
ธนาคารกสิกรไทยและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 10,627 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2,631 ล้านบาท หรือ 19.85% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,530 ล้านบาท หรือ 5.75% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 414 ล้านบาท หรือ 3.36% มีสินทรัพย์รวม 3,767,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.96% ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 ธนาคารกสิกรไทยและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 10,627 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2,631 ล้านบาท หรือ 19.85% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 23,496 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2563 จำนวน 4,857 ล้านบาท หรือ 26.06% หลักๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,530 ล้านบาท หรือ 5.75% ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.16% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 414 ล้านบาท หรือ 3.36% ส่วนใหญ่เป็นผลจากความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,129 ล้านบาท หรือ 13.60% ส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมรับจากการโอนเงิน และค่าธรรมเนียมรับจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงจำนวน 3,741 ล้านบาท หรือ 18.45% เนื่องจากในไตรมาสก่อน หลักๆ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 41.30% นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสนี้จำนวน 8,650 ล้านบาท แม้ว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ธนาคารตั้งสำรองฯ ลดลงหลังจากที่ตั้งในระดับที่สูงในช่วงสามไตรมาสแรกของปี…
กลุ่มทิสโก้เผยผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 กำไรสุทธิ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.7% โดยมีฐานเงินสำรองสูงถึง 222% ขณะที่หนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ สะท้อนความสามารถในการบริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจ ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Chief Executive Officer, TISCO Financial Group) เปิดเผยว่า ภายใต้โจทย์ในการดำเนินธุรกิจที่มีปัจจัยท้าทายรอบด้าน กลุ่มทิสโก้ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2564 จำนวน 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจตลาดทุน ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการนำเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และดีลการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) รวมถึงทิสโก้มีกำไรพิเศษจากมูลค่าเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ผ่านมา การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตของทิสโก้ปรับตัวลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระดับ NPL ที่ทรงตัวที่ 2.5% รวมทั้งบริษัทได้กันสำรองครอบคลุมความเสี่ยงด้านเครดิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ระดับเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูง และแม้ว่าการปล่อยสินเชื่อจะยังไม่กลับสู่การเติบโต แต่ถือเป็นไปตามนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของบริษัท “ธุรกิจเสาหลักของทิสโก้ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจ Wealth Management ธุรกิจ Retail Banking และธุรกิจ Corporate Banking โดยทุกกลุ่มอยู่ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทแม่ และแต่ละกลุ่มมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขณะที่ความเสี่ยงกระจายตัวแยกกันชัดเจน จึงช่วยรักษาสมดุลด้านรายได้และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องขณะที่กลยุทธ์การทำงานภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง กลุ่มทิสโก้จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกทำในสิ่งที่ชำนาญ รวมถึงแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากความชำนาญนี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า พร้อมปรับกระบวนการในการดำเนินการ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยในการต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า และเพื่อให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตและเติบโตได้อย่างยั่งยืน” ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 จากรายได้จากธุรกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจตลาดทุน และการรับรู้รายได้พิเศษจากเงินลงทุน ประกอบกับการตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง…
ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน) ในไตรมาส 1 ของปี 2564 จำนวน 10,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 103.2% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 22,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากความแข็งแกร่งของธุรกิจในการขยายฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และความมุ่งมั่นในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในไตรมาส 1 ของปี 2564 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 23,376 ล้านบาท ลดลง 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ที่ลดลงในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ แม้ว่าสินเชื่อโดยรวมขยายตัว 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 14,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.2% จากปีก่อน การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเป็นผลของการขยายฐานรายได้ของธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง และการรับรู้กำไรตามราคาตลาดในปัจจุบันของพอร์ตการลงทุนของธนาคารและบริษัทในเครือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 15,101 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดลงของต้นทุนในการให้บริการจากการใช้ช่องทางดิจิทัลที่มากขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในไตรมาส 1 ของปี 2564 ปรับตัวดีขึ้นอย่างเด่นชัดเป็น 40% เมื่อเปรียบเทียบกับ 44% ในปีก่อน ในไตรมาส 1 ของปี 2564 ธนาคารได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 10,008 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในปีก่อน อย่างไรก็ตามการตั้งเงินสำรองยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าสภาวะปกติ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบัน อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ 3.79% เพิ่มขึ้นจาก 3.68% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลของการบริหารจัดการสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างรอบคอบของธนาคารด้วยการการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพและแนวทางการแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพโดยคำนึงถึงมูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาว ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 139.6% ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.2% อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสแรกแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจหลักของธนาคารและความได้เปรียบทางการแข่งขันจากการพัฒนาขีดความสามารถในด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี นอกจากนี้การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบยังมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ พร้อมกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถึงแม้มีการระบาดระลอกใหม่ ธนาคารยังคงดำรงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าและรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจล่าช้าออกไป ทั้งนี้ ธนาคารยังคงมุ่งเน้นในการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ และขยายขีดความสามารถด้านดิจิทัลและระบบนิเวศทางธุรกิจโดยอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
LPN เตรียมออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.95% ให้กับผู้ลงทุนทั่วไป เสนอขายระหว่างวันที่ 10 – 12 พฤษภาคมนี้ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท ผ่าน 4 สถาบันการเงินเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ อภิชาติ เกษมกุลศิริ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไป อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.95% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุก 100,000 บาท กำหนดเสนอขายวันที่ 10 – 12 พฤษภาคม 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปซื้อที่ดิน เพื่อใช้ในการขยายกิจการและรองรับเป้ารายได้และการเติบโตในอนาคตตามแผนธุรกิจปี 2564-2567 “หุ้นกู้ LPN เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่แสวงหารูปแบบการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เป็นหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก LPN เป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับ มีการเติบโตต่อเนื่องและมั่นคงในเส้นทางธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 30 ปี โดยทั้งบริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัท ทริสเรทติ้ง ที่ระดับ ‘BBB+’ แนวโน้ม ‘คงที่’ ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า LPN จะสามารถรักษาผลการดำเนินงานไว้ได้ตามที่คาดการณ์ และบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผนแม้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ซึ่งตอกย้ำความมั่นใจในความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ LPN รวมถึงการมีแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดพักอาศัย และบ้านพักอาศัย โดย LPN ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงจะรักษาความสามารถในการแข่งขัน มีนโยบายทางการเงินที่มีวินัย และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” อภิชาติ กล่าว ทั้งนี้ LPN ได้วางยุทธศาสตร์ปี 2564-2567 ให้เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการเติบโตของรายได้ กำไร การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพของที่อยู่อาศัยและการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายรายได้ไม่ต่ำกว่า…
KTAM เปิดขาย กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y19 (KTGF1Y19 ) และ กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y20 (KTGF1Y20) ซึ่งเป็นหนึ่งในซีรีส์ของกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก อายุโครงการประมาณ 1 ปี มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้ ไม่น้อยกว่า 80% ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก อายุโครงการประมาณ 1 ปี คือ กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y19 หรือ KTGF1Y19 ตั้งแต่วันนี้ -12 เมษายน 2564 กองทุน KTGF1Y19 มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้ รวมกันทุกขณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมี นโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก และ/หรือตราสารการเงินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับ ที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) และ/หรือลงทุนในหน่วย CIS ของกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินประเภท ตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารต่ำกว่า ที่ สามารถลงทุนได้ (non – investment grade) และ/หรือตราสารแห่งหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด หรือเห็นชอบให้ลงทุนได้ ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่า ทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ…
บลจ.กสิกรไทย เชื่อมั่นในกองทุนหุ้นจีน-สหรัฐฯ มีศักยภาพและโอกาสทำกำไรในระยะยาว เพิ่ม Class Share ใหม่ใน 2 กองทุน ‘K-CHINA-A(A) และ K-USA-SSF’ หวังเติมเต็มให้ครบทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกเป้าหมายของการลงทุน เปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังการฉีดวัคซีนได้ดำเนินไปในวงกว้าง โดยในช่วงที่ผ่านมาประเทศแกนหลักต่างได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี ในฝั่งของรัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังเข้มงวดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Policy Normalization) อีกทั้งยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตรียมออกแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อมุ่งสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมาโดยเร็วเช่นกัน ซึ่งจากทิศทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ 2 ประเทศมหาอำนาจสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้เพิ่ม Share Class ใหม่ในกองทุน K-CHINA และ K-USA ได้แก่ กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า (K-CHINA-A(A)) และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-USA-SSF) เพื่อเติมเต็มให้ครบทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกเป้าหมายของการลงทุน โดยเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นาวินกล่าวต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากองทุน K-CHINA ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากขนาดกองทุนกว่า 20,600 ล้านบาท ถือเป็นกองทุนหุ้นจีนและกองทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ 16 เม.ย. 64) อย่างไรก็ดี กองทุน K-CHINA-A(A) เป็นกองทุนชนิดสะสมมูลค่า ซึ่งเมื่อกองทุนได้รับผลตอบแทนก็จะถูกนำกลับเข้าไปบริหารต่อเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อไปในอนาคต สำหรับความน่าสนใจของกองทุนอยู่ที่การลงทุนในหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศ (เซิ่นเจิ้น, เซี่ยงไฮ้, ฮ่องกง) และต่างประเทศ (สหรัฐฯ, ไต้หวัน) ทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds…
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) ประกาศจ่ายปันผลกองทุนเปิดทหารไทย Property Income Plus (TMBPIPF) จำนวนทั้งสิ้น 217 ล้านบาท เชื่ออสังหาฯยังมีความน่าสนใจ อดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring) เปิดเผยว่า “ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่จากแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในสหรัฐและการเร่งฉีดวัคซีนในสหรัฐและยุโรปรวมถึงประเทศขนาดใหญ่ ส่งผลบวกต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ทิศทางการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในระยะสั้นระหว่างทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแม้จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ต้องขึ้นกับปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจในแต่ละประเทศทำให้แต่ละประเทศอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่พร้อมกัน ในสภาวะที่นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทน (Search for yield) การมองสินทรัพย์ประเภทที่ให้ผลตอบแทน (Income) ในระดับที่น่าสนใจ มีผลตอบแทนคาดหวังคุ้มค่ากับความเสี่ยงในระดับราคาที่เหมาะสม (Attractive Valuation) ซึ่งการกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนไปในสินทรัพย์ทางเลือกประเภทอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความน่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.การกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 ในรอบที่ 3 นี้ ได้รับการกระจายวัคซีนที่ดีกว่าคาด ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัว 2.อสังหาฯไทยยังเรียกได้ว่าฟื้นตัวช้ากว่าทั้วโลก (Laggard) และระดับมูลค่าของอสังหาฯไทยยังยังดูมีความน่าสนใจจากส่วนต่างของปันผลและผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี 3. อสังหาฯบางกลุ่มยังได้ประโยชน์จาก E-commerce เช่น คลังสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้า 4. ประเทศสิงคโปร์มีการกระจายวัคซีนที่ดี ทำให้ผู้ติดเชื้อรายวันต่ำ และยังมีพัฒนาการของเศรษฐกิจที่ดี ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้กองทุนอสังหาฯมีความน่าสนใจและถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีโอกาสสร้างรายรับสำหรับนักลงทุน เนื่องจากได้รับกระแสรายได้จากค่าเช่า และเงินปันผลอีกทางหนึ่ง” สำหรับกองทุนเปิดทหารไทย Property Income Plus (TMBPIPF) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งกองทุนนี้มีการบริหารจัดการแบบ Active Management ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการบริหารกองทุน ที่ผ่านมากองทุนเติบโตและได้รับความนิยมจากผู้ลงทุน ภายใต้การจัดการมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ของกองทุนสูงถึง 23,704 ล้านบาท (ข้อมูลจาก www.tmbameastspring.com ณ วันที่ 19 เมษายน 2564) โดยนับตั้งแต่การจัดตั้งกองทุนเมื่อ 30…
ไตรมาส 1 ปี 2564 ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย กำไรสุทธิ 6,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,525 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% ยังคงตั้งสำรองตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง มีเงินรับฝากจำนวน 2,904,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงจากการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 รวมถึงมาตรการในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดในบางพื้นที่ ขณะที่การส่งออกของประเทศไทยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มขยายตัวจากพัฒนาการการแจกจ่ายวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาคการท่องเที่ยวที่มีความ ไม่แน่นอนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ในไตรมาสต่อ ๆ ไป แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและการกระจายวัคซีนให้กับประชาชน นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐจะมีส่วนช่วยพยุงการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเช่นกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องใช้เวลา รวมถึงการฟื้นตัวของแต่ละภาคเศรษฐกิจยังมีความแตกต่างกัน รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ดำเนินการออกมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือ ภาคธุรกิจและประชาชนที่ประสบปัญหาที่แตกต่างกัน และเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนเพื่อรองรับให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ภายหลังโควิด-19 ตามฐานวิถีชีวิตใหม่ กำไรสุทธิของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 6,923 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 6,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,525 ล้านบาท จากไตรมาส 4 ปี 2563 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เงินรับฝากลดลงจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝาก และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.17% สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 15.4% จากค่าธรรมเนียมการให้บริการกองทุนรวมและบริการประกันผ่านธนาคาร และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 51.1% ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 6,326 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพยังคงดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,369,276 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี 2563 สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.7% ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อน โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยง…
ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง 2 ผู้นำ อย่าง ธนาคารกรุงเทพ และฮั่วเซ่งเฮง เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อ-ขาย ทองคำ ราคาเดียวกับในตลาดโลกแบบเรียลไทม์ ด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) บนแพลตฟอร์ม Hua Seng Heng USD Gold Trade ผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit Account: FCD) สำหรับลูกค้าธนาคารกรุงเทพ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน เพิ่มทางเลือกในการลงทุนและทำกำไรได้มากกว่าเดิม นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไฟเขียวให้ลูกค้านักลงทุนสามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำกับบริษัทผู้ค้าทองคำที่ได้รับอนุญาตจาก ธปท. สามารถชำระค่าซื้อขายทองด้วยสกุลเงิน USD ผ่านบัญชี FCD ได้ โดยไม่ต้องแปลงสกุลเงิน จากที่ก่อนหน้าการซื้อขายทองคำในประเทศตามปกติต้องชำระเป็นสกุลเงินบาท ผ่านการตัดบัญชีบาทเท่านั้น ทำให้กลุ่มผู้ค้าทองรายใหญ่ เริ่มสนใจและหันมาขยายบริการในตลาดกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น