KBSPIF ชูคุณภาพสินทรัพย์กองทุน มีความมั่นคงด้านกระแสเงินสด

 ประกาศจ่ายปันผลงวดไตรมาส 1/2564 ในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย 

 กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF โชว์ศักยภาพการดำเนินงานของสินทรัพย์ที่มั่นคง ตอกย้ำกระแสเงินสดดีอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนสามารถจ่ายปันผลจากกระแสเงินสดรับสุทธิรอบปีตั้งแต่ 1 เม.ย 63 – 31 มี.ค. 64 (12 เดือนแรก) ได้ 8.95% ซึ่งเป็นไปตามประมาณการที่แจ้งในหนังสือชี้ชวน หลังประกาศเตรียมจ่ายเงินปันผลงวดการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย มั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วยได้อย่างต่อเนื่อง  

          นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน KBSPIF เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF (“กองทุน”) มีความสามารถการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากคุณภาพทรัพย์สินโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด หรือ KPP โดยมีคู่สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.จำนวน 22 เมกะวัตต์ และ บมจ.น้ำตาลครบุรี อีก 3.5 เมกะวัตต์ รวมการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น เป็นจำนวน 25.5 เมกะวัตต์ ทำให้มีความมั่นคงด้านกระแสเงินสดที่ดี  

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุนของบริษัทจัดการฯ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผล จากผลการดำเนินงานของกองทุนฯไตรมาส 1/2564 (มกราคมมีนาคม 2564) ให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินประมาณ 110.88 ล้านบาท พร้อมกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 16 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่กองทุน KBSPIF ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยไปแล้ว ครั้งก่อนหน้านี้ คิดรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 0.499 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราการปันส่วนแบ่งผลตอบแทนตามกระแสเงินสดรับสุทธิในรอบ 12 เดือนแรก (1 เมษายน 2563 – 31 มีนาคม 2564) อยู่ที่ 8.95% ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้ในหนังสือชี้ชวน 

“กองทุน KBSPIF มีการดำเนินงานที่มั่นคงของกระแสเงินสดที่เกิดจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามเป้าหมายที่เราได้เคยประมาณการกระแสเงินสดรับสุทธิไว้ภายใน 12 เดือนแรก โดยมีผลตอบแทนรวม อยู่ที่ 8.95% ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานกองทุน KBSPIF ต่อจากนี้ เชื่อมั่นว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการสร้างกระแสเงินสดรับจากการแบ่งรายได้จากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาว  อีกทั้งกองทุน KBSPIF ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงไฟฟ้า รวมถึงการปิดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้” นางชวินดา กล่าว

You might also like