ในช่วงปลายปี 2562 มีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน หลังจากนั้นไวรัสดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โควิด-19” ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งประเทศไทย ในช่วงนั้นคนไทยต่างก็ตื่นตระหนกกับการระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความหวาดกลัวนั้น บริษัทประกันวินาศภัยของไทยมองเห็นโอกาส จึงเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบใหม่เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” หมายความว่าหากผู้ถือกรมธรรม์ตรวจพบและมีเอกสารยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ก็จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเลยทันที เงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนสมกับชื่อ “เจอจ่ายจบ” บวกกับความต้องการสร้างความอุ่นใจให้กับอนาคตที่ไม่แน่นอน ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด
จากข้อมูลงบการเงินธุรกิจประกันวินาศภัยไทยทั้งระบบในปี 2563 นับตั้งแต่มีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เบี้ยประกันภัยรับตรงเติบโต 3.51% จากปี 2562 แต่พบว่ากลุ่มประกันภัยสุขภาพเติบโตสูงถึง 42.32% ซึ่งประกันภัยโควิด-19 อยู่ภายใต้หมวดประกันภัยสุขภาพ1
กล่าวได้ว่าในปี 2563 ผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 กลายเป็น “พระเอก” ที่สร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยอย่างเป็นกอบเป็นกำ ช่องทางขายแบบออนไลน์ที่ง่ายและสะดวกยิ่งทำให้การซื้อประกันทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของภาครัฐ ทำให้อัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทนยังไม่สูงเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยที่ได้รับ
อย่างไรก็ตาม หลังเดือนเมษายน 2564 จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์อัลฟ่า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อที่มีเพียง 2,912 รายในเดือนมีนาคม 2564 เพิ่มเป็น 36,292 รายในเดือนเมษายน 2564 และพุ่งทะยานถึง 94,575 รายในเดือนพฤษภาคม 25642 จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้ย่อมส่งผลให้จำนวนค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทประกันวินาศภัยรายแรกที่ “ออกอาการ” โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ได้ออกหนังสือถึงผู้ถือกรมธรรม์ระบุว่า เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องใช้สิทธิ “บอกเลิก” กรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 ของบริษัทฯ
หลังจากที่มีข่าวการบอกเลิกกรมธรรม์ของ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย เกิดกระแสสังคมที่แสดงความไม่พอใจกับการตัดสินใจดังกล่าวอย่างรุนแรง ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ประชุมด่วนและออกคำสั่งห้ามไม่ให้ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย บอกเลิกกรมธรรม์ และออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิ์บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 โดยบริษัทประกันภัย และให้มีผลย้อนหลังก่อนวันที่ออกคำสั่งนี้ แต่สามารถบอกเลิกได้เฉพาะกรณีพบหลักฐานชัดเจนว่าผู้เอาประกันภัยได้ทุจริตหรือฉ้อฉลเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการทำประกันภัย
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ.ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย แจ้งบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เพราะถือว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้ทำประกันกับสินมั่นคงไปก่อนหน้านี้ และการกระทำดังกล่าวทาง บมจ.สินมั่นคงประกันภัยไม่เคยแจ้ง คปภ. มาก่อน ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง3
ภายหลังทาง บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ยอมปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงาน คปภ. จ่ายค่าสินไหมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2564) มีผลขาดทุนสุทธิ 3,845.58 ล้านบาท เพียงแค่ไตรมาส 3/2564 มูลค่ายอดจ่ายสินไหมสูงถึง 6,815.69 ล้านบาท ซึ่งมาจากกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” ประมาณ 6,002.91 ล้านบาท4
หลังจากเกิดกรณี บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่มั่นใจถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทประกันภัย โดยเฉพาะบริษัทประกันภัยที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และเริ่มมีข่าวออกมาว่ามีบริษัทประกันภัยบางแห่งมีปัญหาการเงิน จ่ายค่าสินไหมล่าช้า และลดจำนวนพนักงาน ซึ่งบริษัทที่ว่าก็คือ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) โดย คปภ. มีมติให้ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 หยุดรับประกันเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 หลังจากนั้นได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมไม่ให้ทำการเคลื่อนย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท
จนในที่สุด เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยของ บมจ. เอเชียประกันภัย 1950 เนื่องจากมีฐานะการเงินไม่มั่นคง มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน มีสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการจ่ายสินไหม โดยงบการเงิน 6 เดือนแรกปี 2464 บริษัทฯ ขาดทุนสะสม 285.8 ล้านบาท และไม่มีแนวทางในการเพิ่มทุน ทำให้ บมจ. เอเชียประกันภัย 1950 เป็นบริษัทประกันภัยรายแรกที่ปิดฉากลงจากพิษของกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” แล้วลอยแพลูกค้ากว่า 2 ล้านกรมธรรม์
ในช่วงเวลานั้นบริษัทประกันวินาศภัยอีกรายที่ส่ออาการไม่ค่อยดีนักก็คือ บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีการร้องเรียนว่าบริษัทฯจ่ายค่าสินไหมล่าช้า และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 มีข่าวว่า คปภ. ผ่อนเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนให้ 3 บริษัทประกันวินาศภัยเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินนำไปจ่ายค่าสินไหมประกันภัยโควิด-19 ให้กับประชาชน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อ บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย รวมอยู่ด้วย
12 พฤศจิกายน 2564 บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย พยายามดิ้นรนด้วยการส่งข้อความ SMS ถึงลูกค้าประกันภัยโควิด-19 โดยเสนอทางเลือกให้ลูกค้าเปลี่ยนจากกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 เป็นประกันภัยประเภทอื่นแทน พร้อมเสนอทุนประกันภัยที่สูงเป็นพิเศษเพื่อจูงใจ และมีกระแสข่าวว่าหากลูกค้าไม่เปลี่ยนตามที่บริษัทฯ เสนอมาภายใน 7 วัน กรมธรรม์จะถูกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งทาง คปภ. ออกมาชี้แจงว่าหากบริษัทฯกระทำเช่นนั้นจะมีความผิด5
29 พฤศจิกายน บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “บริษัทอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราว เพื่อดำเนินการเสริมสภาพคล่อง (ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์)” ทำให้ประชาชนหวั่นวิตกว่า บมจ. เดอะวัน ประกันภัย จะปิดกิจการหนีหรือไม่ แต่ คปภ.ออกมายืนยันว่าบริษัทฯ ยังไม่ปิดกิจการ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด
ต่อจากนั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย มีผลตั้งแต่ 13 ธันวาคม 2564 เนื่องจากบริษัทไม่สามารถดำรงฐานะการเงินตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถเพิ่มทุน และไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการจ่ายสินไหม
ตัวเลข ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564 บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย มีสภาพคล่องที่สามารถนำมาใช้ได้เพียง 162.40 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าสินไหมที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 2,544.22 ล้านบาท โดยมีสินไหมประกันภัยโควิด-19 อยู่ทั้งสิ้น 2,435 ล้านบาท สุดท้ายบริษัทฯ จำเป็นต้องปิดตัวลงเป็นรายที่ 2 พร้อมทั้งลอยแพพนักงานบริษัทฯ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าใด ๆ
สำหรับ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพยุงฐานะการเงินจนกว่าประกันภัยโควิด-19 จะสิ้นสุดอายุกรมธรรม์ในช่วงกลางปี 2565 โดยประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนและออกหุ้นใหม่ คาดว่าจะได้เงินประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าน่าจะเพียงพอที่จะรองรับค่าสินไหมที่จะเกิดขึ้น โดยเสนอขายหุ้นให้กับบริษัทประกันต่างชาติในสัดส่วน 24.8%6
ที่กล่าวมานั้นเป็นภาพรวมของประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” ที่เกิดขึ้น ผู้เขียนมีบางมุมมองที่อยากนำเสนอ โดยจะแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผู้ถือกรมธรรม์หรือผู้เอาประกันภัย 2) บริษัทประกันวินาศภัย และ 3) หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล
1) ผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัย
เชื่อว่าผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัยที่ซื้อประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เหตุผลที่ซื้อเพราะต้องการใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัยย่อมรู้สึกอุ่นใจขึ้นหลังจากที่ซื้อประกันภัยโควิด-16 แล้ว เพราะหากโชคร้ายเป็นผู้ติดเชื้อ จำเป็นต้องเข้ากระบวนการรักษา ต้องกักตัว ทำให้ขาดรายได้ อย่างน้อยยังมีเงินก้อนจากค่าสินไหมไว้คอยเยียวยา ผู้ติดเชื้อบางรายโชคร้ายต้องใช้ค่าสินไหมเป็นค่าทำศพ การซื้อประกันภัยไว้จึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
หากบริษัทประกันภัยจะบอกเลิกกรมธรรม์ย่อมไม่เป็นธรรมกับผู้ซื้อ เพราะผู้ซื้อไม่ได้ทำอะไรผิด หากกระทำเช่นนั้นจะทำให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยสูญเสียความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อประกันภัยทั้งระบบ ซึ่ง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า
“คปภ. ได้ยืนยันกับทางสมาคมประกันวินาศภัยว่าจะไม่ยกเลิกคำสั่ง คปภ. ที่ห้ามบริษัทประกันยกเลิกประกันโควิดแบบ “เจอจ่ายจบ” ตามที่สมาคมประกันวินาศภัยขอมา เพราะเห็นว่าการยกเลิกคำสั่งจะกระทบกับผู้ทำประกันและธุรกิจประกันโดยรวมทั้งหมด”7 แต่ล่าสุดสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โดยอ้างว่าขัดต่อหลักการประกันภัยสากลและขัดต่อหลักกฎหมาย
ในมุมผู้บริโภค นับจากนี้ไปการซื้อประกันภัยไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยจะมองเฉพาะที่เบี้ยประกันถูก ๆ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทประกันภัยด้วย
2) บริษัทประกันวินาศภัย
ปัจจุบันสมาคมประกันวินาศภัยไทยมีบริษัทสมาชิกทั้งสิ้น 53 บริษัท ในจำนวนนี้มี 16 บริษัทที่เสนอขายประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” จากข้อมูลสมาคมประกันวินาศภัยไทยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 มียอดกรมธรรม์สะสมประมาณ 40 ล้านฉบับ เป็นกรมธรรม์แบบ “เจอจ่ายจบ” ประมาณ 10 ล้านฉบับ ประเมินว่า ณ สิ้นปี 2564 ยอดค่าสินไหมน่าจะพุ่งเกิน 4 หมื่นล้านบาท
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ตั้งข้อสังเกตว่า ตามกฎหมายการรับเสี่ยงภัยใดภัยหนึ่งต้องไม่เกิน 10% ของระดับเงินกองทุน แต่ปัจจุบันเคลมจากโควิด-19 เกินกว่า 26% ของเงินกองทุน ขณะที่ปัจจุบันกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” จำนวนมากยังคุ้มครองไปถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ดังนั้นทางสมาคมมีความกังวลว่าหากเกิดการระบาดโควิดระลอกใหม่ขึ้นมา ธุรกิจประกันวินาศภัยจะรับมือไหวหรือไม่8
ต้องยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากมายในครั้งนี้เกิดจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) ของแต่ละบริษัท และถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ต้องกลับมาทบทวนถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม โควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) เช่นเดียวกับความเสี่ยงทาง ไซเบอร์ (Cyber Risk) ซึ่งบริษัทประกันภัยยังไม่มีสถิติที่นำมาใช้อ้างอิงในการกำหนดอัตราเบี้ยที่เหมาะสมได้ แตกต่างจากประกันภัยประเภทอื่น ๆ ที่มีข้อมูลในอดีตมาใช้ในการประเมินความเสี่ยง การนำข้อมูลจากต่างประเทศมาใช้ก็ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้เต็มที่ เพราะบริบทและสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน9 มิหนำซ้ำเมื่อต้องเจอกับเงื่อนไขการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่สามารถระบาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้สัดส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัย (Loss Ratio) เพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย
การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดนอกจากจะทำให้บริษัทต้องประสบกับภาวะขาดทุนแล้ว ยังกระทบไปถึงอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) ซึ่งต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ คปภ. กำหนดไว้ (ขั้นต่ำที่ 120%) หากอัตราส่วนดังกล่าวไม่เพียงพอก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยการเพิ่มทุน จนท้ายที่สุดบางบริษัทจำเป็นต้องยอมทิ้งใบอนุญาตและปิดกิจการ เพราะนายทุนรู้ว่าใส่เงินลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับค่าสินไหมจำนวนหลายพันล้านบาท
หากมองว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นโอกาส (Opportunity) ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ในทำนองที่ว่าเป็นโอกาสในวิกฤต ข้อนี้ต้องพึงระวัง ผู้ประกอบการไม่ควรรีบกระโจนเข้าไปขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ โดยมิได้พิจารณาอย่างรอบคอบหรือไม่ได้ชั่งน้ำหนักระหว่าง Opportunity และ Vulnerability อย่างเพียงพอ
ความผิดพลาดอีกประการหนึ่งก็คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เกือบทั้งหมดไม่ได้ทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) โดยตัดสินใจที่จะแบกรับความเสี่ยงไว้เอง ไม่ได้ส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยต่อเพื่อกระจายความเสี่ยงตามหลักการประกันภัย ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในเชิงการบริหารความเสี่ยงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและไม่เป็นมืออาชีพ ส่วนในกรณีที่ไม่มีบริษัทประกันภัยต่อใดกล้ารับงาน ก็แสดงว่าเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง และยิ่งต้องบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายขึ้น
3) หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล
อย่างที่ทราบกันดีว่า อุตสาหกรรมประกันภัยประกอบด้วยประกันชีวิตและประกันวินาศภัย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ และในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ คปภ. ก็ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยในฐานะองค์กรที่เคียงข้างประชาชนผู้เอาประกันภัย อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้กำกับดูแลและเป็นผู้อนุมัติกรมธรรม์ทุกแบบก่อนที่จะนำไปเสนอขายกับผู้บริโภค ทาง คปภ.ได้ทักท้วงหรือส่งสัญญาณเตือนให้บริษัทประกันภัยควบคุมปริมาณการขายหรือไม่ โดยเฉพาะประกันภัย โควิด-19 เป็นภัยที่เกิดขึ้นใหม่และยังไม่มีสถิติข้อมูลเพียงพอ เมื่อปล่อยให้ขายโดยอิสระจึงเกิดความเสียหายในวงกว้างอย่างที่เห็น และที่สำคัญบทบาทในการควบคุมดูแลก็เป็นหน้าที่โดยตรงของหน่วยงานภาคกำกับด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 9/2564 เห็นชอบให้ออก 7 มาตรการผ่อนผันให้กับบริษัทประกันวินาศภัยที่มีค่าสินไหมโควิด-19 เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดี ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้บางส่วน โดยส่วนใหญ่เป็นการลดภาระเงินกองทุน แต่ภาระอีกส่วนที่บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต้องแบกรับก็คือเงินสมทบที่ต้องนำส่งให้กับ คปภ. ทุกไตรมาส ซึ่งระบุวัตถุประสงค์ไว้เพียงว่า “เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการและสำนักงาน”
หาก คปภ. มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยผ่อนผัน ช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับบริษัทประกันภัยสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้นั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ คปภ. จะละเว้นการส่งเงินสมทบในช่วงนี้ไปก่อน ซึ่งหากเป็นจริงจะช่วยแบ่งเบาภาระและมีส่วนช่วยให้หลายบริษัทผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
ในวันนี้กรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เปลี่ยนจาก “พระเอก” กลายเป็น “ผู้ร้าย” ไปแล้ว จนถึงวันนี้บริษัทประกันวินาศภัยปิดตัวไป 2 แห่ง และเชื่อว่ายังไม่จบแค่นี้ นี่ยังไม่พูดถึงการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ “โอมิครอน” ซึ่งน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ในปี 2565 จำนวนคนไทยที่ติดเชื้อจากไวรัสโอมิครอนเพิ่มขึ้นทุกวัน และน่าจะทำให้ยอดค่าสินไหมพุ่งทะยานมากขึ้น มากแค่ไหนยังยากที่จะประเมิน ที่สำคัญคือวิกฤตการณ์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” จะถูกจารึกว่าเป็นโศกนาฏกรรมของธุรกิจประกันวินาศภัยไทยอย่างแน่นอน…
แหล่งเอกสารอ้างอิง
1ชุลีกร แต่โสภาพงษ์ (2564). การเติบโตของประกันภัยโควิด-19 ในประเทศไทย. วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150
2ข้อมูลจาก https://data.go.th/dataset/covid-19-daily
3 คปภ.สั่งห้ามยกเลิกประกันโควิด บังคับย้อนหลังทุกกรมธรรม์ (2564). สืบค้นจาก https://mgronline.com/mutualfund/detail/9640000069427
4สินมั่นคงขาดทุน 3.6 พันล้าน-อ่วมพิษเคลม “เจอจ่ายจบ” ทะลุ 6 พันล้าน (2564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-800954
5สั่งปิด “เดอะวันประกันภัย” ย้อนไทม์ไลน์ 4 เดือน เกิดอะไรขึ้นบ้าง (2564). สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/977183
6สินมั่นคงฯ ชงผู้ถือหุ้น 18 ก.พ. 65 ขายหุ้นให้ประกันต่างชาติ 24.8% (2564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-832831
7คปภ.ห้ามยกเลิกประกันโควิดเจอจ่ายจบ (2564). สืบค้นจาก https://www.posttoday.com/finance-stock/insurance/668245
8ประกันป่วนเลิก “เจอจ่ายจบ” เคลมพุ่งไม่หยุดผวาโดมิโนทั้งระบบ (2 โขวิฑูรกิจ (2564). ว่าด้วยประกันภัยโควิด-19 และการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย. วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-801670
9ปิยวดี โขวิฑูรกิจ (2564). ว่าด้วยประกันภัยโควิด-19 และการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย. วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150